ผิวหน้า
ฝ้าเลือด

ทำความรู้จัก “ฝ้าเลือด” หนึ่งในชนิดฝ้าที่สามารถรักษาได้

ใบหน้าที่สวยใสไร้ร่องรอยนั้นคงเป็นหนึ่งในความฝันของใครหลาย ๆ คน แต่ในบางครั้งคุณอาจพบกับปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดปัญหาผิวหนังที่ส่งผลให้ใบหน้าดูไม่เรียบเนียน ซึ่งฝ้าเลือดก็คงเป็นหนึ่งในปัญหาผิวที่คุณอยากหลีกเลี่ยง เพราะฝ้าเลือดรักษาไม่ง่ายและค่อนข้างใช้เวลา แต่ถ้าคุณประสบปัญหาฝ้าเลือดอยู่ ทางเรามีวิธีรักษาฝ้าเลือดและวิธีดูแลตนเองที่ช่วยให้ฝ้าเลือดจางลงได้ค่ะ



ฝ้าเลือดคืออะไร? จะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นฝ้าเลือด?

ฝ้าเลือด คือ

ฝ้าเลือด (telangiectatic melasma) คือ ฝ้าชนิดหนึ่งที่เกิดจากเส้นเลือดฝอยภายใต้ผิวหนังขยายตัวหรือเพิ่มขนาดจนผิดปกติ ทำให้บนผิวมีร่องรอยคล้ายเส้นเลือดฝอยแตกตัวปรากฏขึ้น สีของฝ้าเลือดที่มักปรากฏจะมีสีแดง สีน้ำตาลปนแดง สีชมพู แต่ก็มีโอกาสที่ฝ้าเลือดจะเข้มขึ้นหรืออาจจะขยายตัวเพิ่มขึ้นถ้าหากดูแลผิวไม่ถูกวิธีค่ะ


ปัจจัยใดบ้างที่ทำให้เกิดฝ้าเลือด

ฝ้าเลือดเกิดจากเส้นเลือดฝอยบนผิวชั้นหนังแท้เสื่อมสภาพหรือขยายตัวมากจนผิดปกติ ทำให้มีรอยเส้นเลือดฝอยขึ้นบนผิวหนัง ซึ่งมีปัจจัยที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดฝ้าเลือดขึ้นดังนี้ 

  • แสงแดด

แสงแดดเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้ใบหน้าของคุณเกิดฝ้าแดด ฝ้าเลือด รวมถึงฝ้าอื่น ๆ เพราะในแสงแดดมีรังสี UVA ที่สามารถทะลุเข้าไปในผิวหนังชั้นหนังแท้ได้ เมื่ออยู่ท่ามกลางแสงแดดนานผิวก็จะบางและเสื่อมสภาพลง ซึ่งแสงแดดจะไปกระตุ้นให้เส้นเลือดฝอยทำงานมากขึ้น และส่งผลให้ผิวเกิดฝ้าชนิดต่าง ๆ ขึ้นมา ยิ่งไปกว่านั้นแสงแดดยังเป็นต้นเหตุของปัญหาผิวหนังอื่น ๆ เช่น กระ จุดด่างดำได้อีกด้วย

  • ฝ้า

ฝ้าเลือดสามารถเกิดจากฝ้าด้วยกันเองได้ เพราะเมื่อผิวของคุณมีฝ้าชนิดอื่น ๆ อยู่ ฝ้าเหล่านั้นจะไปกระตุ้นการทำงานของเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังชั้นหนังแท้ให้ผลิตเซลล์เม็ดสีเพิ่มขึ้น จึงเป็นเหตุที่ทำให้เส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังขยายตัวจนเห็นเป็นรอยแดงปื้นบนผิว ในกรณีที่ปล่อยฝ้าเลือดทิ้งไว้ก็จะทำให้ฝ้ามีสีเข้มขึ้นได้ค่ะ

  • ผลิตภัณฑ์รักษาสิว

เชื่อว่ามีผู้คนบางส่วนไม่ทราบว่าผลิตภัณฑ์รักษาสิวที่ใช้กันอยู่อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ใบหน้าเป็นฝ้าเลือด เพราะคิดว่าผลิตภัณฑ์ที่ใช้อยู่จะช่วยให้ใบหน้าดูเรียบเรียนได้ แต่ผลิตภัณฑ์รักษาสิวส่วนใหญ่มักมีสารสเตียรอยด์เป็นส่วนผสม ซึ่งสารสเตียรอยด์จะช่วยให้ผิวของคุณดีขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น เพราะในระยะยาวสารสเตียรอยด์จะเป็นอันตรายต่อผิว ทำให้ผิวบางลงและทำให้หลอดเลือดใต้ผิวขยายตัวได้ 

  • ผลิตภัณฑ์เร่งผิวขาว

ผลิตภัณฑ์ช่วยเร่งให้ผิวขาวบางแบรนด์อาจใช้สารไฮโดรควิโนนหรือสารปรอท ซึ่งเป็นสารที่ช่วยให้ผิวขาวขึ้นได้ แต่ก็เป็นสารที่อันตรายต่อร่างกายจนในปัจจุบันมีกฎห้ามนำสารเหล่านี้มาใช้เป็นส่วนประกอบของครีมทาผิว เพราะสารเหล่านี้จะทำให้ผิวบางลง กระตุ้นให้เส้นเลือดฝอยขยายตัวจนเกิดฝ้าเลือดและฝ้าอื่น ๆ และในกรณีที่ใช้ระยะยาวก็จะมีโอกาสทำให้เป็นมะเร็งผิวหนังสูงขึ้นด้วยค่ะ


ฝ้าเลือดต่างจากฝ้าชนิดอื่นอย่างไร

ลักษณะฝ้าเลือด

ฝ้าเลือดเกิดจากเส้นเลือดฝอยใต้ผิวหนังขยายตัว มีลักษณะเป็นพังผืดหรือปื้นสีแดงจากแสงแดดหรือการใช้ยาและครีมบำรุงต่าง ๆ บางครั้งจะเห็นเป็นสีชมพู หรือสีน้ำตาลคล้ำ แต่เมื่อส่องใกล้ ๆ ก็จะเห็นเส้นเล็ก ๆ แผ่ขยายออกมาคล้ายกับเส้นเลือดฝอยที่แตกตัวอยู่

แล้วฝ้าเลือดแตกต่างจากฝ้าชนิดอื่น ๆ อย่างไร ลักษณะฝ้าเลือดจะแตกต่างจากฝ้าชนิดอื่นดังนี้

  • ฝ้าแดด

ฝ้าแดดเกิดจากแสงแดดกระตุ้นให้เซลล์ผิวให้ผลิตเม็ดสีจนเกิดเป็นฝ้าขึ้น ฝ้าแดดจะแบ่งเป็นฝ้าตื้น ฝ้าลึกและฝ้าผสมขึ้นอยู่กับบริเวณที่ผลิตเม็ดสี

  • ฝ้าตื้น

ฝ้าตื้นเกิดจากเม็ดสีผลิตตัวเพิ่มขึ้นผิดปกติบริเวณชั้นหนังกำพร้า มีลักษณะเป็นปื้นขอบชัด สีน้ำตาลเข้มหรือสีดำ

  • ฝ้าลึก

ฝ้าลึกเกิดจากผิวผลิตเม็ดสีเพิ่มขึ้นผิดปกติเช่นเดียวกับฝ้าตื้น แต่จะเกิดอาการในชั้นผิวหนังแท้ มีลักษณะเป็นปื้นขอบไม่ชัด สีน้ำตาล สีม่วงอมน้ำเงิน สีเทาอมฟ้า 

  • ฝ้าผสม

ฝ้าผสมเกิดจากผิวผลิตเม็ดสีบริเวณชั้นหนังกำพร้าและชั้นหนังแท้มากผิดปกติ ทำให้มีลักษณะอาการของฝ้าตื้นและฝ้าลึกผสมกัน


ฝ้าเลือดสามารถรักษาได้ด้วยวิธีใดบ้าง

สิ่งหนึ่งที่คุณจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับการรักษาฝ้าเลือดและฝ้าอื่น ๆ ก่อนนั้น คือ ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาฝ้าเลือดให้หายขาดได้ แต่ในปัจจุบันก็มีการรักษาที่ช่วยให้ร่องรอยฝ้าจางลงได้หากเข้ารับการรักษาอย่างต่อเนื่องค่ะ

การทำเลเซอร์รักษาฝ้าเลือด

เลเซอร์ฝ้าเป็นวิธีรักษาฝ้าเลือดที่เห็นผลลัพธ์ชัดเจนในระยะเวลาไม่นาน เพราะเลเซอร์จะมุ่งทำลายเม็ดสีที่อยู่บนผิวของคุณโดยตรงและยังช่วยลดการขยายตัวของเส้นเลือดฝอย ทำให้บริเวณที่เป็นฝ้าเลือดจางลง อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นให้ผลิตคอลลาเจนให้ผิวแข็งแรงขึ้นด้วย โดยเลเซอร์ที่มักนำมาใช้รักษาฝ้าจะมี Pico Laser, Q-Switch Laser และ Dual Yellow Laser ค่ะ

การใช้คลื่นแสง IPL

บางคนอาจจะเคยได้ยิน IPL ใช้ในการกำจัดขน แต่ที่จริงแล้ว IPL ก็สามารถนำมารักษากระ ฝ้า และจุดด่างดำได้ด้วยเช่นกัน โดยใช้คลื่นแสงพลังงานต่ำยิงบริเวณฝ้าให้เม็ดสีสลายตัวออกไปได้อย่างอ่อนโยนต่อผิว และคลื่นแสงยังมีส่วนช่วยให้เส้นเลือดฝอยหดตัว จึงเป็นหนึ่งในวิธีรักษาฝ้าเส้นเลือดอีกวิธีที่ได้รับความนิยม

การทำ Rejuran

Rejuran คือ การฉีดโพลีนิวคลีโอไทด์ (Polynucleotide) ซึ่งเป็นสารสกัดจาก DNA ของปลาแซลมอนเข้าสู่ผิวหนังโดยตรงเพื่อกระตุ้นการฟื้นฟูซ่อมแซมเซลล์ผิวให้กลับมาแข็งแรงในระยะเวลาไม่นาน และยังมีส่วนช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว จึงทำให้ใบหน้าที่ได้รับผลกระทบจากฝ้าเลือดได้รับการบำรุงให้ดูสุขภาพดีมากขึ้น

การทำมาเด้คอลลาเจน

มาเด้คอลลาเจนเป็นการฉีดวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการฟื้นฟูเซลล์ผิวให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง มาเด้คอลลาเจนเหมาะกับทุกสภาพผิว โดยเฉพาะผู้ผิวแพ้ง่ายที่มักมีปัญหาผิวหนังต่าง ๆ รวมถึงจุดด่างดำ กระ ฝ้า เพราะสารที่นำมาฉีดนั้นสกัดจากธรรมชาติจึงมีความปลอดภัยต่อร่างกายสูง

การทำดริปวิตามิน

ดริปวิตามินเป็นการฉีดวิตามินหรือการให้น้ำเกลือผสมวิตามินเพื่อเพิ่มสารวิตามินที่เป็นประโยชน์ต่อผิวกาย การทำดริปวิตามินจะมีหลายสูตรให้เลือกตามความต้องการ ซึ่งคุณสามารถเลือกสูตรที่ช่วยเพิ่มความกระจ่างใสให้กับผิวหรือสูตรที่ช่วยซ่อมแซมผิวให้แข็งแรงเพื่อช่วยปรับสภาพผิวให้มีรากฐานแข็งแรงขึ้นได้ 

การใช้ยารักษาฝ้า

การใช้ยารักษาฝ้าทรานซามิน (Transamin) ก็เป็นหนึ่งในทางเลือกในการรักษาอาการฝ้าเลือด เพราะทรานซามินมีส่วนช่วยลดกระบวนการสร้างเม็ดสีผิว อย่างไรก็ตามในการรักษาฝ้าด้วยยาชนิดนี้จำเป็นต้องให้แพทย์เป็นผู้จ่ายยาให้เท่านั้น เนื่องจากเป็นยาอันตรายที่มีผลข้างเคียงรุนแรงหากใช้ไม่ถูกวิธีค่ะ

การใช้สกินแคร์

การใช้สกินแคร์เป็นวิธีที่ช่วยแก้ปัญหาฝ้าเลือดได้ระดับหนึ่ง โดยควรใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของวิตามินซี วิตามินอี วิตามินบี3 เพื่อช่วยบำรุงผิว และใช้สกินแคร์ที่ช่วยลดการผลิตเม็ดสีอันเกิดจากการขยายตัวของเส้นเลือดฝอยจาก กรดโคจิก (Kojic Acid) หรือ อาร์บูติน (Arbutin) และช่วยปรับสภาพผิวให้ดูกระจ่างใสมากขึ้น แต่การใช้สกินแคร์จะค่อนข้างใช้เวลารักษานานและต้องทาเป็นประจำเพื่อให้เห็นผลลัพธ์ค่ะ


วิธีการป้องกันการเกิดฝ้าเลือด

แก้ฝ้าเลือด

ถึงแม้ว่าจะรักษาแก้ฝ้าเลือดแล้วก็ยังมีโอกาสที่ฝ้าจะกลับมาขึ้นบนผิวของคุณได้ถ้าหากดูแลผิวไม่เหมาะสม ดังนั้นทางเรามีวิธีป้องกันผิวหน้าจากฝ้าเลือดมาแนะนำเพื่อช่วยลดโอกาสเกิดฝ้า ดังนี้

  • ทาครีมกันแดดเป็นประจำทุก ๆ 4 ชั่วโมงแม้ว่าจะอยู่ในที่ร่ม เพราะรังสี UVA สามารถทะลุผ่านกระจกได้ 
  • หลีกเลี่ยงอยู่ในสถานที่แดดแรงระยะเวลานาน หากจำเป็นต้องทำกิจกรรมกลางแจ้งให้สวมใส่เสื้อแขนยาว หมวก หรือกางร่มเพื่อป้องกันฝ้าแดด และฝ้าอื่น ๆ 
  • หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์เร่งหน้าขาวหรือใช้ครีมที่มีส่วนผสมของสารปรอท สารไฮโดรควิโนนเพื่อป้องกันการเกิดฝ้าเลือด
  • ในกรณีที่จำเป็นต้องใช้ยาที่มีส่วนผสมของสารสเตียรอยด์ควรอยู่ในการดูแลจากแพทย์เท่านั้น
  • หมั่นทามอยเจอร์ไรเซอร์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหน้า
  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดใบหน้าสูตรอ่อนโยนเพื่อไม่ให้ผิวหนังบอบบางลงจากการระคายเคือง
  • ทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ในส่วนของอาหารที่ช่วยบำรุงผิว เช่น วิตามินซี วิตามินอี วิตามินบี3 แต่ควรทานในปริมาณที่เหมาะสม
  • ดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวันละ 8 แก้วเพื่อให้ผิวหนังดูชุ่มชื้น
  • นอนหลับพักผ่อนอย่างน้อยวันละ 6-8 ชั่วโมงเพื่อไม่ให้ใบหน้าโทรม และไม่ให้เกิดความเครียดซึ่งส่งผลต่อการผลิตเม็ดสี

สรุป อยากรักษาฝ้าเลือดให้หายควรเริ่มต้นอย่างไร

แม้ว่าฝ้าเลือดจะไม่ได้ส่งผลอันตรายรุนแรงต่อร่างกาย แต่ก็ทำให้ใบหน้ามีสีผิวไม่สม่ำเสมอซึ่งส่งผลต่อรูปลักษณ์ภายนอกของคุณได้ ในกรณีที่คุณอยากรักษาฝ้าเลือดเพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับตนเอง คุณสามารถปรึกษากับทางรมย์รวินท์ซึ่งเป็นคลินิกเสริมความงามที่มีแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังเป็นผู้ให้คำแนะนำพร้อมกับให้การรักษาฝ้าที่เหมาะสมเพื่อกำจัดความกังวลใจของคุณให้หมดไป


[elementor-template id="15452"]

Related Posts