เพราะอะไร ผิวชุ่มชื้นถึงสำคัญกับคนเป็นฝ้า รู้แล้วฝ้าหายแน่นอน
“ฝ้า” หนึ่งในปัญหากวนใจที่สามารถเกิดได้หลายจุดทั่วร่างกาย และสามารถเกิดได้ในหลายช่วงวัย โดยฝ้าสามารถถูกกระตุ้นให้เกิดได้จากหลายปัจจัย เช่น การตากแดดหรือความแห้งกร้านของผิว ดังนั้นผิวชุ่มชื้นจึงมีความสำคัญกับคนที่เป็นฝ้าหลายประการ วันนี้รมย์รวินทร์จะพาไปดูกันค่ะว่าทำไมผิวชุ่มชื้นถึงสำคัญกับคนเป็นฝ้า .. รู้ไว้แล้วผิวดีขึ้น ป้องกันการเกิดฝ้าใหม่ได้แน่นอน
ผิวชุ่มชื้นคืออะไร ?
ผิวชุ่มชื้น (Moisture) คือผิวที่มีปริมาณน้ำและน้ำมันในผิวสมดุลกัน ทำให้ผิวสุขภาพดี อ่อนนุ่ม ไม่แห้งกร้าน เรียบเนียน และยืดหยุ่น โดยผิวที่มีน้ำและน้ำมันสมดุลในผิวจะช่วยให้ความชุ่มชื้นในผิวเพียงพอที่จะสามารถป้องกันการสูญเสียน้ำและป้องกันผิวจากมลภาวะภายนอก
ผิวชุ่มชื้นเกิดจากอะไร ?
สาเหตุที่ทำให้เกิดผิวชุ่มชื้นมาจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นปริมาณน้ำที่อยู่ในผิวที่มาจากการดื่มน้ำ หรือจะเป็นไขมันในผิว และกรดไขมันในร่างกาย ที่จะช่วยรักษาสมดุลน้ำในผิวไม่ให้ระเหยออกไป นอกจากนี้การใช้ครีมบำรุงและสภาพแวดล้อมก็ส่งผลต่อการที่จะทำให้ผิวชุ่มชื้นได้เช่นเดียวกัน การใช้มอยส์เจอไรเซอร์ หรือครีมบำรุงที่มีส่วนผสมที่ช่วยเก็บกักน้ำ สามารถช่วยเสริมความชุ่มชื้นให้ผิวและป้องกันการสูญเสียน้ำได้ อีกทั้งการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่อากาศแห้ง หนาวเย็น ผิวอาจจะเสียน้ำได้ง่ายมากขึ้น
ทำไมผิวชุ่มชื้นถึงสำคัญ ?
ผิวชุ่มชื้นมีความสำคัญเพราะช่วยป้องกันปัญหาผิวได้หลายอย่าง และมีประโยชน์ต่อสุขภาพและความงาม ดังนี้
- ผิวชุ่มชื้นป้องกันการสูญเสียน้ำจากผิวได้
- ผิวชุ่มชื้นช่วยเสริมสร้างเกราะป้องกันผิว
- ผิวชุ่มชื้นลดการระคายเคืองและการอักเสบได้
- ผิวชุ่มชื้นลดการเกิดริ้วรอยและผิวแก่ก่อนวัย
- ผิวชุ่มชื้นช่วยให้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวทำงานได้ดีขึ้น
- ผิวชุ่มชื้นทำให้ผิวดูเรียบเนียนและกระจ่างใส
- ผิวชุ่มชื้นสำคัญต่อการเกิดแลการรักษาฝ้า
ผิวชุ่มชื้นเกี่ยวอะไรกับฝ้า ?
ผิวชุ่มชื้นมีความเกี่ยวข้องกับปัญหาฝ้าในหลายอย่าง โดยเฉพาะในการดูแลและป้องกันการเกิดฝ้า โดยผิวชุ่มชื้นช่วยป้องกันการเกิดปัญหาผิวอื่นๆ เช่น ผิวแห้ง แตก หรือสิว ซึ่งสามารถกระตุ้นการผลิตเม็ดสีให้สูงขึ้น และการผลิตเม็ดสีมากเกินไปจะทำให้เกิดเป็นฝ้าได้ นอกจากนี้การที่ผิวชุ่มชื้นยังเกี่ยวข้องกับการช่วยป้องกันการเกิดฝ้าในอนาคตได้อีกด้วย จากการที่ผิวมีเกราะป้องกันจากมลภาวะ เช่น แสงแดดและมลภาวะ ที่เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้ฝ้าเกิดรุนแรง
ฝ้าคืออะไร ?
ฝ้า (Melasma) คือปัญหาผิวหนังที่มีลักษณะเป็นจุดหรือแผ่นสีเข้มบนผิวหนัง แต่สีจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคลตั้งแต่สีน้ำตาลอ่อนจนถึงสีน้ำตาลเข้ม ส่งผลให้ผิวไม่เรียบเนียนหรีอไม่สม่ำเสมอได้ โดยฝ้ามักพบได้บริเวณใบหน้า เช่นแก้ม หน้าผาก ริมฝีปาก และฝ้ามักพบได้มากในผู้หญิงในช่วงที่มีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนและปัจจัยอื่น ๆ จากมลภาวะได้
ฝ้าเกิดจากอะไร ?
การเกิดฝ้าเกิดได้จากการผลิตเม็ดสีที่มากเกินไป โดยมีหลายปัจจัยที่กระตุ้นให้เกิดฝ้าได้ ดังนี้
- ฝ้าถูกกระตุ้นโดยแสงแดด
การที่ผิวโดนรังสี UV จากแสงแดดเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดฝ้า เนื่องจากรังสี UV จะไปกระตุ้นการทำงานของเซลล์เมลานินที่ผลิตเม็ดสีผิว ทำให้ผลิตเม็ดสีมากเกินไป ส่งผลให้เกิดฝ้าที่เป็นจุดสีน้ำตาลบนผิวหนังได้ นอกจากนั้นรังสี UV ยังสามารถทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองและอักเสบ ที่จะทำให้ฝ้าชัดขึ้น
- ฝ้าถูกกระตุ้นโดยฮอร์โมน
ฝ้าสามารถถูกกระตุ้นได้ด้วยการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนที่ไม่คงที่ในช่วงตั้งครรภ์หรือจากการกินยาคุมกำเนิด โดยการที่ระดับฮอร์โมนเปลี่ยนแปลงจะสามารถกระตุ้นเม็ดสีเมลานินให้ผลิตเม็ดสีมากขึ้นจนทำให้เกิดฝ้าได้
- ฝ้าถูกกระตุ้นโดยกรรมพันธุ์
สำหรับบุคคลที่มีประวัติครอบครัวเป็นฝ้ามักมีแนวโน้มที่จะเกิดฝ้าขึ้น เนื่องจากพันธุกรรมมีส่วนในการกำหนดการตอบสนองต่อการผลิตเม็ดสี หากพันธุกรรมมีการผลิตเม็ดสีมากกว่าปกติก็มีโอกาสส่องต่อตามกรรมพันธุ์ได้
- ฝ้าถูกกระตุ้นโดยมลภาวะ
มลภาวะจากสิ่งแวดล้อม เช่นแสงแดดและมลพิษ ไม่ว่าจะเป็นควันจากรถยนต์หรือสารเคมี สามารถทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้ ส่งผลให้เซลล์เมลานินกระตุ้นการผลิตเม็ดสีมากขึ้นจนทำให้เกิดเป็นฝ้าบนผิวหนังได้
- ฝ้าถูกกระตุ้นโดยสภาพผิว
คนที่มีผิวแห้งบอบบางมักมีแนวโน้มที่จะเกิดฝ้ามากกว่าคนที่ผิวชุ่มชื้นแข็งแรง เนื่องจากผิวแห้งมีเกราะป้องกันที่อ่อนแอ ทำให้ผิวมีความเสี่ยงต่อการระคายเคืองขึ้น รวมถึงสามารถถูกกระตุ้นจากปัจจัยต่างๆ เช่น แสงแดด มลพิษ ได้โดยง่าย จนเกิดการอักเสบและกระตุ้นเซลล์เมลานินผลิตเม็ดสีมากขึ้นส่งผลให้เกิดฝ้าได้ง่ายกว่าผิวชุ่มชื้นแข็งแรง
- ฝ้าถูกกระตุ้นโดยการใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว
การใช้ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่มีส่วนผสมที่ทำให้เกิดโอกาสการระคายเคืองหรือแพ้ สามารถกระตุ้นให้ผิวเกิดการอักเสบและระคายเคืองได้ ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เซลล์เมลานิน (Melanocytes) ผลิตเม็ดสีมากขึ้น ส่งผลให้เกิดฝ้าได้หากไม่รักษาความชุ่มชื้นผิวได้
ฝ้ามีกี่ชนิด ?
การเกิดฝ้านั้นสามารถเกิดขึ้นได้หลายจุด โดยฝ้าสามารถแบ่งออกเป็น 3 ชนิด ตามลักษณะและที่ตั้งของฝ้า ได้แก่
- ฝ้าแบบตื้น (Epidermal Melasma)
ฝ้าแบบตื้นเป็นฝ้าที่สามารถพบได้บ่อย เกิดจากการที่เซลล์เมลาโนไซต์ในชั้นหนังกำพร้า (epidermis) ผลิตเม็ดสีที่มากเกินไปจากการกระตุ้นด้วยปัจจัยต่างๆ เช่น แสงแดดที่ทำให้ผิวหนังสร้างเม็ดสีเพิ่มขึ้น, ฮอร์โมน หรือพันธุกรรม โดยส่วนใหญ่ฝ้าแบบตื้นมักมีสีเข้ม ชัดเจน เช่น สีน้ำตาลหรือสีน้ำตาลอ่อน รูปร่างไม่ชัดเจน ส่วนใหญ่จะเกิดบริเวณใบหน้า เช่น บริเวณแก้ม หน้าผาก จมูก คาง และเหนือริมฝีปาก
- ฝ้าแบบลึก (Dermal Melasma)
ฝ้าแบบลึกเป็นฝ้าที่เกิดจากที่เม็ดสีเมลานินสะสมอยู่ในชั้นหนังแท้ที่อยู่ลึกกว่าชั้นหนังกำพร้า (epidermis) โดยฝ้าแบบลึกมีลักษณะที่ซับซ้อน อยู่ได้เป็นเวลานาน มีความคงทน และรักษาได้ยากกว่าฝ้าแบบตื้น เพราะเมลานินสะสมอยู่ในชั้นที่ลึกกว่า ลักษณะของฝ้าแบบลึกนี้สีจะค่อนข้างหม่น เป็นสีเทา สีน้ำตาลเข้ม หรืออาจจะออกสีม่วงอมน้ำเงิน มีลักษณะคล้ายรอยแผลหรือรอยดำ ส่วนมากมักเกิดในผู้ที่มีอายุมาก หรือผู้ที่เคยเป็นฝ้ารุนแรงมาก่อน โดยเฉพาะผู้ที่เคยได้รับการกระตุ้นจากแดดต่อเนื่อง
- ฝ้าแบบผสม (Mixed Melasma)
ฝ้าแบบผสมเป็นฝ้าที่เกิดจากฝ้าตื้น (Epidermal Melasma) และ ฝ้าลึก (Dermal Melasma) รวมกันจนเป็น ฝ้าผสม (Mixed Melasma) ซึ่งเป็นฝ้าชนิดที่พบได้บ่อยมากที่สุด จากปัจจัยที่กระตุ้น ได้แก่ รังสี UV จากแสงแดด ฮอร์โมนและอายุที่เพิ่มขึ้น โดยฝ้าแบบผสมเกิดจากการสะสมของเม็ดสีเมลานินทั้งในชั้นผิวหนังชั้นนอกและชั้นผิวหนังชั้นกลาง โดยฝ้าชนิดนี้มีสีไม่สม่ำเสมอ มีหลายสีในบริเวณเดียวกัน กระจายอยู่ทั่วใบหน้า และสีของฝ้าชนิดนี้สามารถเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลได้ จึงทำให้ฝ้าแบบผสมมีความซับซ้อนมากกว่า และต้องการการรักษาที่หลายวิธีร่วมกัน
ดังนั้นการรู้จักฝ้าแต่ละชนิดเป็นประโยชน์มาก เพราะจะช่วยให้ผู้ที่เป็นฝ้าสามารถเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมกับตนเอง รวมทั้งสามารถดูแลผิวได้อย่างถูกต้องเพื่อป้องกันการเกิดฝ้าในอนาคตได้ค่ะ
สาเหตุที่ผิวชุ่มชื้นสำคัญกับคนเป็นฝ้า ?
ผิวชุ่มชื้นมีความสำคัญอย่างมากสำหรับคนเป็นฝ้า เพราะผิวชุ่มชื้นจะช่วยให้การรักษาฝ้าทำได้ดีมากยิ่งขึ้นและผิวชุ่มชื้นยังสามารถป้องกันการเกิดฝ้าในอนาคตได้อีกด้วย นอกจากนั้นผิวชุ่มชื้นยังมีความสำคัญกับคนที่มีฝ้าหลายอย่าง ดังนี้
- ผิวชุ่มชื้นสำคัญกับคนเป็นฝ้าเพราะลดการระคายเคือง
การมีผิวชุ่มชื้นจะลดโอกาสการเกิดการระคายเคืองได้ เนื่องจากถ้าผิวระคายจะกระตุ้นการอักเสบของผิวได้ ซึ่งผิวอักเสบเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เซลล์ที่ผลิตเม็ดสีถูกกระตุ้นให้สร้างเม็ดสีเมลานินเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้ฝ้ามีสีเข้มและชัดเจนมากขึ้น ดังนั้นการรักษาให้ผิวชุ่มชื้นจะช่วยลดการระคายเคืองและป้องกันการเกิดฝ้าที่รุนแรงได้
- ผิวชุ่มชื้นสำคัญกับคนเป็นฝ้าเพราะป้องกันการผลิตเม็ดสีมากเกินไป
หากผิวขาดความชุ่มชื้นผิวจะสร้างเม็ดสีมากขึ้นเพื่อป้องกันการถูกทำลาย โดยเฉพาะเมื่อผิวเจอกับแสงแดด แต่ถ้าหากผิวชุ่มชื้นจะมีชั้นป้องกันที่ดี ทำให้สามารถป้องกันการผลิตเม็ดสีเมลานินที่มากเกินไป และลดโอกาสการเกิดฝ้าใหม่ได้
- ผิวชุ่มชื้นสำคัญกับคนเป็นฝ้าเพราะเสริมการฟื้นฟูผิว
ผิวชุ่มชื้นจะสามารถฟื้นฟูตัวได้เร็วขึ้นจากการบาดเจ็บได้ และหากผิวชุ่มชื้นมากเพียงพอจะสามารถลดอาการผลข้างเคียงบนผิวจากการรักษาฝ้าได้ เช่น ผิวแห้ง แตก หรือเกิดรอยด่างดำ หลังการทำเลเซอร์ลดฝ้า
- ผิวชุ่มชื้นสำคัญกับคนเป็นฝ้าเพราะช่วยให้การรักษาฝ้ามีประสิทธิภาพ
หากรักษาฝ้าด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์รักษา อย่างเช่นการใช้ครีม หรือการใช้เซรั่มลดเลือนจุดด่างดำ การที่ผิวชุ่มชื้นจะช่วยให้ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ทำงานได้ดีเพราะผิวชุ่มชื้นจะช่วยให้สารออกฤทธิ์ซึมซาบเข้าสู่ผิวได้ดีกว่าบนผิวที่แห้งกร้าน
5 วิธีเช็คว่าผิวขาดผิวชุ่มชื้นหรือไม่ ?
หากต้องการเช็คว่าผิวชุ่มชื้นหรือไม่ สามารถเช็คได้หลายวิธี ทั้งสามารถทำได้ด้วยตัวเองและการทำการทดสอบ ดังนี้
- การสังเกตสภาพผิวคัวเอง การเช็คว่าผิวชุ่มชื้นหรือไม่สามารถเช็คได้ด้วยการสังเกตตัวเอง ดังนี้
- ผิวแห้งเป็นขุย ถ้าผิวแห้ง ไม่ชุ่มชื้นจนเกิดการลอกเป็นขุยหรือเป็นสะเก็ด โดยเฉพาะบริเวณบนใบหน้าที่มีความบาง เช่น บริเวณรอบจมูก หรือแก้ม นั่นเป็นสัญญาณว่าผิวขาดความชุ่มชื้น
- ผิวดูหมองคล้ำ เมื่อผิวขาดน้ำมาก อาจทำให้ผิวหมองคล้ำ ไม่เปล่งปลั่ง ไม่สดใสและไม่เรียบเนียนได้
- รู้สึกตึงหรือคัน โดยส่วนมากผิวที่ขาดความชุ่มชื้นมักจะรู้สึกตึง คัน หรือระคายเคืองได้ จะเห็นได้ชัดหลังการล้างหน้า หากรู้สึกว่าผิวแห้งตึงหรือระคายเคืองง่ายอาจจะเป็นสัญญาณว่าผิวขาดน้ำ
- การแต่งหน้าไม่ติด ส่วนมากผิวที่ขาดความชุ่มชื้นมักจะแต่งหน้าไม่ติด ทำให้หน้าไม่เรียบเนียน เป็นรอยแตกเป็นขุยในบริเวณผิวที่แห้ง
- ริ้วรอยที่เห็นชัดชื้น ผิวที่แห้ง ขาดความชุ่มชื้นจะทำให้ริ้วรอยบนหน้าชัดขึ้นรวมถึงริ้วรอยเล็กเกิดขึ้นจากผิวที่แห้งได้
- การทดสอบผิวด้วยตนเอง อีกวิธีที่สามารถทดสอบได้ด้วยตัวเองที่บ้านว่าผิวชุ่มชื้นหรือเปล่าสามารถทดสอบได้เองด้วย 2 วิธี ดังนี้
- การทดสอบด้วยการหยิกผิว วิธีนี้สามารถทำได้ด้วยการใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ หยิกเบา ๆ ที่ผิวบริเวณแก้มหรือหลังมือ หากผิวกลับมาคืนสภาพเดิมช้า แสดงว่าผิวขาดความชุ่มชื้น ถ้าผิวกลับคืนสู่สภาพเดิมได้เร็วแสดงว่าผิวชุ่มชื้นและยืดหยุ่น
- การทดสอบด้วยกระดาษซับมัน วิธีนี้สามารถทำได้ด้วยการใช้กระดาษซับมันแตะลงบนผิวหลังจากล้างหน้าเสร็จแล้วปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 1 ชั่วโมง หากกระดาษซับมันแห้ง ไม่มีคราบน้ำมัน แสดงว่าผิวขาดน้ำมันและความชุ่มชื้น แต่ถ้ามีคราบมันเล็กน้อย แสดงว่าผิวมีสมดุลน้ำมันและน้ำดี ผิวชุ่มชื้น
- เช็คผิวชุ่มชื้นไ้ด้จากการดูแลผิว หากผิวไม่สามารถซึมซาบได้ง่าย หรือผิวแห้งกร้านแม้จะทาครีมบำรุง อาจจะเป็นสัญญาณบอกได้ว่าผิวขาดน้ำ ผิวไม่ชุ่มชื้น เพราะผิวชุ่มชื้นจะสามารถซึมซาบผลิตภัณฑ์บำรุงผิวได้ดี
- การใช้เครื่องวัดความชุ่มชื้นของผิว หากอยากเช็คว่าผิวชุ่มชื้นแบบแม่นยำมากยิ่งขึ้น สามารถใช้อุปกรณ์ที่ใช้ระดับความชุ่มชื้นของผิวโดยเฉพาะ สามารถหาซื้อได้ในร้านเครื่องสำอางค์หรือคลินิกผิวหนัง เครื่องวัดนี้จะบอกได้ว่าผิวชุ่มชื้นหรือไม่
วิธีการรักษาผิวให้มีความชุ่มชื้น
- เลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผิวแห้ง
หากใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวที่แรงเกินไป หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมที่ทำให้ผิวแห้ง
- ทาครีมกันแดดสม่ำเสมอ
แดดเป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นการเกิดฝ้า ดังนั้นการใช้ครีมกันแดดที่ SPF สูงที่มีส่วนผสมของมอยส์เจอไรเซอร์ จะช่วยป้องกันผิวจากรังสี UV และปกป้องความชุ่มชื้นของผิว อีกทั้งหากทาครีมที่มีสารป้องกันรังสี UVA และ UVB แล้วใช้เป็นประจำแม้จะไม่มีแดด หรืออยู่ในที่ร่ม จะสามารถช่วยป้องกันไม่ให้เกิดฝ้ารุนแรงได้
- เลี่ยงการอยู่ในสภาวะแวดล้อมที่ทำให้ผิวแห้ง
ในสภาพอากาศที่มีความแห้ง หรือแดดร้อนจัด จะทำให้ผิวเกิดการขาดความชุ่มชื้นขึ้นได้ ดังนั้นเพื่อการรักษาผิวให้ชุ่มชื้นควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในสภาวะที่อาจจะทำให้ผิวแห้ง และลดการสัมผัสกับสภาพอากาศที่ทำให้ผิวแห้ง
- ควรดื่มน้ำให้มาก
การดื่มน้ำให้เพียงพอเป็นวิธีที่ง่ายและดีที่สุดในการรักษาความชุ่มชื้นจากภายในควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้วขึ้นไป เพื่อให้รักษาความชุ่มชื้นได้ดี
- หลีกเลี่ยงการอาบน้ำอุ่นจัดหรือน้ำร้อน
หากต้องการรักษาความชุ่มชื้นควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำที่ร้อนเกินไป เพราะจะทำให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น เพราะน้ำที่ร้อนจัดจะสามารถล้างน้ำมันธรรมชาติที่อยู่บนผิวออกไปได้ ดังนั้นเพื่อการรักษาผิวชุ่มชื้นควรหลีกเลี่ยงการอาบน้ำที่ร้อนจัด
- ควรหาสิ่งที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นในอากาศ
หากต้องการรักษาผิวชุ่มชื้นสามารถใช้เครื่องทำความชื้นในห้องที่มีอากาศแห้งเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับอากาศ ซึ่งจะช่วยให้ผิวไม่สูญเสียน้ำได้
วิธีการเพิ่มให้ผิวมีความชุ่มชื้น
การเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวเป็นสิ่งที่สำคัญมากโดยเฉพาะกับคนที่เป็นฝ้าเนื่องจากผิวที่ชุ่มชื้นจะช่วยลดการระคายเคือง และช่วยให้การดูแลรักษาฝ้ามีประสิทธิภาพมากขึ้น คนที่เป็นฝ้าสามารถเพิ่มความชุ่มชื้น ได้ด้วยวิธีต่อไปนี้
- ใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่อ่อนโยน สำหรับคนที่เป็นฝ้าผิวมักจะไวต่อแสงและสารเคมีมากกว่าคนปกติ ดังนั้นควรใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่อ่อนโยน ปราศจากสารระคายเคือง หรือสารที่กระตุ้นการเกิดฝ้า อีกทั้งควรเลือกใช้มอยส์เจอไรเซอร์ที่มีส่วนผสมที่จะช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น โดยไม่ให้ผิวเกิดการระคายเคือง
- มาส์กหน้าเพิ่มความชุ่มชื้นและลดการอักเสบ การใช้มาส์กที่มีสารเพิ่มความชุ่มชื้นสามารถช่วยให้ผิวที่เป็นฝ้าชุ่มชื้นมากขึ้น และลดอักเสบที่อาจจะรุนแรงในอนาคตได้ ดังนั้นควรมาส์กหน้าอาทิตย์ละ 1-2 ครั้งเพื่อให้ผิวชุ่มชื้นได้
- ใช้ผลิตภัณฑ์ที่สามารถผลัดเซลล์ผิวได้อย่างอ่อนโยน
การใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวอย่างอ่อนโยนสามารถช่วยลดเลือดริ้วรอย และช่วยให้ผิวสม่ำเสมอเรียบเนียนมากขึ้นได้ แต่ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองและไม่ทำให้ผิวแห้งจนเกินไปเพื่อรักษาความชุ่มชื้นในผิว
- ทำทรีตเมนต์ล้ำลึกเพื่อเพิ่มความชุ่มชื้น
หากต้องการให้ผิวมีความชุ่มชื้นที่รวดเร็วและบำรุงได้อย่างล้ำลึกมากยิ่งขึ้น ผู้ที่เป็นฝ้าสามารถทำทรีตเม้นท์ในคลินิก เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวได้ เพราะการทำทรีตเม้นต์เหล่านี้ จะสามารถเพิ่มความชุ่มชื้นลึกถึงชั้นในและฟิ้นฟูผิวที่เป็นฝ้าได้
- ทานอาหารที่ช่วยบำรุงผิว
การรับประทานอาหารมีส่วนช่วยให้ผิวชุ่มชื้น ช่วยสร้างคอลลาเจนและทำให้ผิวแข็งแรง นอกจากนี้ควรบริโภคไขมันดีเพื่อช่วยรักษาและเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวจากภายใน
รวมวิธีการกำจัดฝ้า
หากผิวเกิดฝ้าแล้วสามารถรักษาฝ้าได้หลากหลายวิธี แต่การรักษานั้นขึ้นอยู่กับความรุนแรงและชนิดของฝ้าที่เกิดขึ้น ส่วนมากการรักษาจะเน้นการรักษาที่เน้นการลดการผลิตเม็ดสีเมลานินและป้องกันการกระตุ้นฝ้าให้เข้มขึ้น และทำให้ผิวชุ่มชื้น โดยการรักษาฝ้าที่นิยมมีดังนี้
- กำจัดฝ้าได้ด้วยการใช้ครีมกันแดด
การปกป้องผิวจากแสงแดดเป็นขั้นตอนสำคัญในการป้องกันและรักษาฝ้า เพราะรังสี UV เป็นกระตุ้นที่ทำให้เกิดฝ้าสีเข้มขึ้น ดังนั้นการทาครีมกันแดดซ้ำทุก 2 ชั่วโมงเมื่ออยู่กลางแดดและทาเมื่อไม่มีแดดและอยู่ในร่มจะสามารถช่วยรักษาและป้องการเกิดฝ้าในอนาคตได้
- กำจัดฝ้าได้ด้วยการทำเลเซอร์
ฝ้าสามารถรักษาได้จากการทำเลเซอร์ โดยใช้พลังงานในการทำลายเม็ดสีเมลานิน ช่วยให้ฝ้าจางลง กระตุ้นการสร้าคอลลาเจนและปผลัดเซลล์ผิว ตามคุณสมบัติของเลเซอร์ชนิดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นฝ้าแบบตื้น หรือแบบลึกก็สามารถรักษาด้วยเลเซอร์ได้
- กำจัดฝ้าได้ด้วยการรักษาความชุ่มชื้นในผิว
การรักษาฝ้าด้วยการรักษาความชุ่มชื้นในผิวเป็นวิธีสำคัญในการรักษาฝ้าและป้องกันไม่ให้ฝ้ารุนแรง เพราะผิวชุ่มชื้นสามารถปกป้องแสงแดดและมลภาวะที่อาจทำให้ฝ้ารุนแรงขึ้นได้ดี นอกจากนี้การรักษาความชุ่มชื้นในผิวจากภายในสามารถฟื้นฟูผิวและลดเลือนฝ้าได้
- กำจัดฝ้าได้ด้วยการใช้ครีมรักษาฝ้า
การรักษาที่นิยมอย่างมากในการรักษาฝ้า คือการใช้ครีมรักษาฝ้าที่มีส่วนผสมในการลดการผลิตเม็ดสี ผลัดเซลล์ผิว และกระตุ้นการสร้างเซลล์ใหม่ โดยการใช้ครีมรักษาฝ้าควรใช้ตามคำแนะนำของแพทย์
- กำจัดฝ้าได้ด้วยการปรับพฤติกรรมและหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้น
อีกหนึ่งวิธีในการรักษาฝ้าง่ายๆที่สามารถทำได้คือการรักษาด้วยการหลีกเลี่ยงปัจจัยที่จะกระตุ้นการเกิดฝ้า เช่นการหลีกเลี่ยงแสงแดดจัดๆ ทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ เลือกใช้เครื่องสำอางค์ที่ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เป็นต้น การปรับพฤติกรรม และหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นเหล่านี้จะช่วยควบคุมไม่ให้เกิดฝ้ารุนแรง
ข้อดีในการรักษาฝ้า
ในการรักษาฝ้านั้นนอกจากจะช่วยลดจุดด่างดำและปัญหาฝ้าที่เกิดบนหน้าให้ลดลงแล้ว ยังมีผลดีกับผิวหนังในหลายด้าน ดังนี้
- การรักษาฝ้าดีกับการลดเลือนความหมองคล้ำ
การรักษาฝ้าช่วยให้รอยฝ้าดูจางลง ปรับสีผิวให้สม่ำเสมอเรียบเนียน ช่วยควบคุมการผลิตเม็ดสีเมลานินที่ผิดปกติที่เป็นสาเหตุของฝ้า การทำให้ฝ้าจางลงจะทำให้ผิวดูสดใสมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้น
- การรักษาฝ้าดีกับการฝ้าช่วยเพิ่มความมั่นใจ
เมื่อรอยฝ้าจางลงผิวเรียบเนียนสม่ำเสมอแล้วนั้น จะช่วยเพิ่มความมั่นใจได้ โดยเมื่อผิวหน้าเรียบเนียนกระจ่างใสทำให้ไม่ต้องแต่งหน้าหนาหรือปกปิดมากเกินไป สามารถโชว์ผิวธรรมชาติได้อย่างมั่นใจ
- การรักษาฝ้าดีกับการป้องกันการเกิดฝ้าใหม่
ในการรักษาฝ้ามักจะมีการป้องกันการเกิดฝ้าในอนาคตร่วมด้วยกับการรักษา เช่นการใช้เซรั่มรักษาความชุ่มชื้น หรือการใช้ครีมกันแดด สิ่งเหล่านี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดฝ้าในอนาคตได้
- การรักษาฝ้าดีกับการลดการอักเสบและระคายเคือง
ผลิตภัณฑ์รักษาฝ้าส่วนใหญ่มักมีส่วนผสมที่ช่วยลดการอักเสบ โดยสารต่างๆสามารถช่วยลดการระคายเคืองของผิว ช่วยให้ผิวฟื้นฟูจากการอักเสบที่อาจกระตุ้นการเกิดฝ้าได้
- การรักษาฝ้าดีกับการช่วยผิวฟื้นฟูยืดหยุ่น
ผลิตภัณฑ์ในการรักษาฝ้าหลายชนิดมักมีการบำรุงผิวอย่างล้ำลึก ทำให้ช่วยฟื้นฟูผิว ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้มีผิวมีความนุ่มและยกกระชับมากขึ้น
- การรักษาฝ้าดีกับการช่วยสุขภาพผิวดีขึ้น
การรักษาฝ้าจะส่งผลให้สุขภาพผิวโดยรวมดีขึ้นด้วยวิธีต่างๆ เช่นการใช้มอยส์เจอไรเซอร์ การทำทรีทเม้นท์บำรุง จะช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ช่วยเสริมเกราะป้องกันผิวไม่ให้เกิดการระคายเคืองหรือสูญเสียความชุ่มชื้น ทำให้ผิวแข็งแรงและดูอ่อนเยาว์ขึ้น