ผิวแห้ง กับ ผิวมัน ผิวประเภทไหนหน้าเป็นฝ้าได้มากกว่ากัน
“ฝ้า” ปัญหาผิวที่เกิดไม่เคยเลือกหน้า ไม่ว่าจะมีผิวแห้งหรือผิวมัน ก็สามารถเป็นฝ้าขึ้นได้ แล้วปัญหาผิวหน้าแบบไหนล่ะ ที่ทำให้เป็นฝ้าได้มากกว่ากัน ? วันนี้รมย์รวินท์จะพาตอบทุกข้อสงสัย “ผิวแห้งกับผิวมัน อะไรที่ทำให้เป็นฝ้าได้มากกว่ากัน” พร้อมทั้งตอบคำถามเกี่ยวกับการรักษาฝ้าในผู้ที่มีผู้ผิวแห้ง และผิวมัน รู้ไว้ ! เพื่อการรักษาฝ้าที่มีประสิทธิภาพ
ผิวแห้ง คืออะไร ?
ผิวแห้งเป็นสภาวะที่ผิวมีความชุ่มชื้นน้อยกว่าปกติ ส่งผลให้ผิวขาดน้ำมัน และขาดความชุ่มชื้น ทำให้รู้สึกตึงหรือคันได้ จากผิวที่แห้งกร้าน ลอกเป็นขุย และอาจรู้สึกได้มากขึ้นเมื่อเผชิญกับอากาศเย็นจัด
ผิวแห้ง เกิดจากอะไร ?
การเกิดผิวแห้งเสีย สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย ทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ดังนี้
- ผิวแห้งเสียจากปัจจัยภายใน เป็นปัจจัยที่ควบคุมได้ยาก เพราะเกิดจากภายในร่างกาย โดยผิวแห้งจากภายในสามารถเกิดขึ้นได้ ดังนี้
- ผิวแห้งเสียจากอายุที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ความสามารถในการกักเก็บความชุ่มชื้นในผิวจะลดน้อยลง ส่งผลให้ผิวแห้งและริ้วรอยชัดขึ้น อีกทั้งต่อมไขมันใต้ผิวจะผลิตน้ำมันธรรมชาติลดลง กระบวนการผลัดเซลล์ผิวก็จะช้าลง ทำให้ผิวแห้งและหมองคล้ำได้ง่ายกว่าปกติ
- ผิวแห้งเสียจากพันธุกรรม เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลให้ผิวแห้งโดยตรง ซึ่งเกิดจากการถ่ายทอดปัญหาผิวต่อ โดยเกิดได้ในผู้ที่มีประวัติครอบครัวมีปัญหาผิวแห้งมาก่อน เช่น โรคผิวหนังบางชนิด
- ผิวแห้งเสียจากการเป็นโรคบางชนิด สามารถทำให้เกิดผิวแห้งได้ เช่น โรคสะเก็ดเงิน หรือภาวะผิวแห้งอักเสบ ซึ่งการเป็นโรคเหล่านี้อาจส่งผลให้ผิวเสียเกราะป้องกัน ทำให้ผิวแห้งเสีย จนเกิดเป็นขุย คัน และระคายเคืองได้
- ผิวแห้งเสียจากการขาดสารอาหาร หรือวิตามินบางชนิด สามารถทำให้เกิดผิวแห้งเสียได้ เช่น การขาดวิตามิน A ที่มีหน้าที่ในการซ่อมแซมเนื้อเหยื่อ หรือวิตามิน E ที่ช่วยในการต้านอนุมูลอิสระ และปกป้องผิว อาจทำให้ผิวแห้ง อ่อนแอ หยาบกร้านได้
- ผิวแห้งเสียจากการดื่มน้ำน้อยเกินไป เพราะน้ำเป็นองค์ประกอบสำคัญของร่างกายที่มีบทบาทสำคัญหลายอย่าง รวมถึงการคงความชุ่มชื้นในผิว ทำให้ผิวมีความยืดหยุ่น สดใส และแข็งแรง ถ้าหากน้ำในร่างกายไม่เพียงพอ จะส่งผลให้ผิวแห้งเสียได้ง่าย
- ผิวแห้งเสียจากปัจจัยภายนอก เป็นปัจจัยที่กระตุ้นให้ผิวเสียจากภายนอก ซึ่งอาจแก้ไขและป้องกันได้ง่ายกว่าการเกิดผิวแห้งเสียจากปัจจัยภายใน โดยผิวแห้งเสียจากปัจจัยภายนอก มีได้หลายสาเหตุ ดังนี้
- ผิวแห้งเสียจากสภาพอากาศ มักเกิดขึ้นมากในฤดูหนาว เพราะระดับความชื้นในอากาศจะลดน้อยลง ทำให้ผิวเสียความชุ่มชื้นได้ ส่งผลให้เกิดผิวแห้งเสีย ลอกเป็นขุย แต่ถึงอย่างนั้นการอยู่ในสภาพอากาศที่แห้งจัด เช่น ในฤดูร้อน ก็ทำให้ผิวแห้งเสียได้เช่นกัน จากการที่ผิวขาดน้ำและเสียความชุ่มชื้นไป
- ผิวแห้งเสียจากการอาบน้ำร้อนบ่อย ๆ ส่งผลให้เกิดผิวแห้งเสียโดยตรง เพราะการอาบน้ำที่ร้อนเกินไปผิวจะเสียน้ำมันธรรมชาติ และทำลายชั้นที่ปกป้องผิว ทำให้ผิวแห้งกร้านได้ง่าย
ดังนั้นสามารถป้องกันผิวแห้งเสียได้ด้วยการอาบน้ำอุ่นในอุณหภูมิที่ใกล้เคียงกับอุณหภูมิในร่างกาย แทนการอาบน้ำร้อนจัด และทามอยส์เจอไรเซอร์หลังอาบน้ำทันที เพื่อช่วยในการกักเก็บน้ำในผิว
- ผิวแห้งเสียจากการใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีสารเคมีรุนแรง เกิดขึ้นได้เมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารเคมีที่รุนแรงจนไปทำลายชั้นปกป้องผิว ทำให้ผิวเสียความชุ่มชื้น จนผิวแห้ง กร้าน และระคายเคือง
- ผิวแห้งเสียจากการอยู่ในที่มีเครื่องปรับอากาศตลอดเวลา เนื่องจากเครื่องปรับอากาศมักทำให้ความชื้นในอากาศลดลง ทำให้ผิวเสียความชุ่มชื้นและอาจทำให้เกราะป้องกันผิวอ่อนแอลง จนเกิดผิวแห้งเสีย ระคายเคืองได้ง่าย
ผิวมัน คืออะไร ?
ผิวมันเป็นสภาวะผิวที่ต่อมไขมันมากเกินไป ทำให้ผิวดูมัน เงา และมีรูขุมขนกว้าง พบได้บ่อยบริเวณที่มีต่อมไขมันมากกว่าบริเวณอื่น ๆ เช่น หน้าผาก คาง และจมูก ซึ่งในผู้ที่มีผิวมันมักจะส่งผลให้เกิดปัญหาผิวต่าง ๆ ตามมา เช่น ปัญหาสิวและผิวหมองคล้ำ
ผิวมัน เกิดจากอะไร ?
มีหลายปัจจัยที่สามารถไปกระตุ้นให้ต่อมไขมันผลิตน้ำมันที่มากเกินไป จนทำให้เกิดปัญหาผิวมัน โดยปัจจัยที่กระตุ้นส่วนใหญ่มี ดังนี้
- ผิวมันที่เกิดจากฮอร์โมนและพันธุกรรม มักพบได้บ่อยในผู้ที่การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอร์โมนมาก เช่น วัยรุ่น , หญิงตั้งครรภ์ หรือผู้ที่ใช้ยาคุมกำเนิด เพราะจะไปกระตุ้นให้ต่อมน้ำมันผลิตน้ำมันที่มากเกินไป จนเกิดผิวมันได้ อีกทั้งผู้ที่ครอบครัวมีปัญหาผิวมันอยู่แล้ว ก็มีโอกาสส่งต่อปัญหาผิวมันทางพันธุกรรมได้เช่นกัน
- ผิวมันที่เกิดจากการรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลหรือไขมันสูง เช่น น้ำอัดลม ขนมหวาน ของทอด หรืออาหารจานด่วน การรับประทานอาหารเหล่านี้จะไปกระตุ้นฮอร์โมนหรือต่อมไขมันให้มีการผลิตน้ำมันที่มากเกินไป จนเกิดปัญหาผิวมันได้
- ผิวมันที่เกิดจากการใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ไม่เหมาะสม มีผลต่อการเกิดผิวมันได้จากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการล้างหน้าบ่อยเกินไป จนทำให้ผิวเสียน้ำมันธรรมชาติที่เป็นเกราะป้องกันไป หรือจะเป็นการใช้ผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีสารเคมีรุนแรง จนผิวอักเสบ ระคายเคือง ซึ่งปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ทำให้ผิวเสียความชุ่มชื้นจนไปกระตุ้นการผลิตน้ำมันที่มากเกินไป จนเกิดปัญหาผิวมันได้ ดังนั้นการเลือกผลิตภัณฑ์ในการทำความสะอาดใบหน้าจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ
- ผิวมันที่เกิดจากความเครียด เกิดจากการที่ฮอร์โมนในร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงบ่อย จนไปกระตุ้นการผลิตน้ำมันจากต่อมไขมันในร่างกาย ทำให้เกิดปัญหาผิวมัน และปัญหาผิวอื่น ๆ ตามมาได้
- ผิวมันที่เกิดจากการใช้ยาบางชนิด มักพบได้บ่อยในยาที่เกี่ยวกับการรักษาฮอร์โมน หรือยาที่มีการกระตุ้นการผลิตน้ำมันในต่อมไขมัน เช่น ยาคุมกำเนิด หรือ ยาสเตียรอยด์ ทำให้เกิดการ เพิ่มการผลิตน้ำมัน จากต่อมไขมันในผิวที่เพิ่มขึ้น จนเกิดปัญหาผิวมัน
- ผิวมันที่เกิดจากอากาศและสิ่งแวดล้อม สามารถกระตุ้นให้ผิวผลิตน้ำมันมากขึ้นได้ จากการที่ร่างกายสัมผัสกับอากาศร้อนหรือชื้นมากเกินไป ทำให้ร่างกายผลิตน้ำมันออกมามาก เพื่อให้ผิวคงความชุ่มชื้นและป้องกันการเสียน้ำ แต่การผลิตน้ำมันที่มากเกินไป ส่งผลให้ผิวมัน และเกิดปัญหาผิวต่าง ๆ ตามมาได้
ฝ้า คืออะไร ?
ฝ้าเป็นภาวะที่ผิวมีรอยดำ หรือจุดสีคล้ำ ปรากฎขึ้นบนผิวหนัง ซึ่งฝ้าพบได้มากในผิวหนังบริเวณที่สัมผัสกับแดดบ่อย ๆ เช่น ใบหน้า ลำคอ หรือแขน โดยฝ้าเกิดได้ตั้งแต่สีน้ำตาลเข้มจนไปถึงสีน้ำตาลอ่อน และมีลักษณะที่ต่างกันออกไป ฝ้ามีรูปร่างที่ไม่แน่นอน และสามารถถูกกระตุ้นให้เกิดได้จากหลายปัจจัย
ฝ้า เกิดจากสาเหตุอะไรได้บ้าง ?
ฝ้าเกิดมาจากการที่เซลล์เม็ดสีในผิวหนังผลิตเม็ดสีเมลานินออกมาในปริมาณที่มากเกินปกติ จนเกิดเป็นรอยจุดคล้ำ ด่างดำ ขึ้นมาบนผิวหนัง ซึ่งปัจจัยที่ไปกระตุ้นให้เกิดการผลิตเม็ดสีที่มากเกินไปจนเป็นฝ้านั้น มีหลายปัจจัย ดังนี้
- การตากแดดร้อนจัดเป็นเวลานาน ๆ
- การที่ฮอร์โมนเปลี่ยนแปลง
- การถูกกระตุ้นโดยยาบางประเภทที่รับประทาน
- การอักเสบของผิวหนัง
- สภาพอากาศและมลภาวะ
ผิวแห้ง ทำให้เป็นฝ้าได้อย่างไร ?
ในผู้ที่มีผิวแห้งมีโอกาสในการเป็นฝ้าได้ง่ายมากขึ้น จากการที่ผิวหนังขาดความชุ่มชื้นแล้วสูญเสียเกราะป้องกัน ทำให้ผิวอ่อนแอ จนเกิดการอักเสบหรือระคายเคืองได้ง่าย เมื่อผิวบอบบางไม่แข็งแรงแล้ว การฟื้นฟูหรือซ่อมแซมผิวก็จะทำได้ช้าลง ทำให้เมื่อเกิดการกระตุ้นการเป็นฝ้าจากภายนอก เช่น การถูกทำลายจากรังสี UV จะส่งผลให้ร่างกายตอบสนองโดยการผลิตเม็ดสีเมลานินมากขึ้น เพื่อปกป้องตัวเอง จนเกิดเป็นฝ้าได้
ผิวมัน ทำให้เป็นฝ้าได้อย่างไร ?
ผิวมันทำให้เป็นฝ้าได้จากการที่ร่างกายผลิตน้ำมันส่วนเกินมากเกินที่มากเกินไป จนทำให้ผิวหนังเกิดการอักเสบ หรือเกิดปัญหาผิวต่าง ๆ เช่น การเกิดสิว ทำให้ร่างกายต้องตอบสนองต่อการที่ผิวถูกทำลาย ด้วยการไปกระตุ้นการผลิตเม็ดสีเมลานินเพื่อปกป้องผิวในบริเวณที่ผิวอักเสบหรือระคายเคือง ซึ่งการผลิตเม็ดสีที่มากเกินไปเป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นฝ้าขึ้นได้
ผิวแห้ง กับ ผิวมัน อะไรก่อให้เป็นฝ้าได้มากกว่ากัน
ผิวแห้ง และผิวมันสามารถทำให้เป็นฝ้าได้ แต่โดยทั่วไปแล้วผู้ที่มีผิวมัน อาจมีความเสี่ยงในการเป็นฝ้าได้มากกว่าผู้ที่มีผิวแห้ง เนื่องจากผิวมันมีแนวโน้มที่จะเกิดการอักเสบและเป็นสิวได้บ่อย ซึ่งจะไปกระตุ้นการผลิตเม็ดสีเมลานินในบริเวณที่อักเสบหรือเป็นสิว จนเกิดเป็นฝ้าได้ อีกทั้งผิวมันมีโอกาสที่จะได้รับผลกระทบจากปัจจัยภายนอกมากกว่าผิวแห้ง เช่น แสงแดด หรือความร้อน ซึ่งปัจจัยเหล่านี้สามารถกระตุ้นให้เป็นฝ้าได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้ยังอาจมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ทำให้ผิวมันเสี่ยงต่อการเป็นฝ้า เช่น การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน หรือการใช้เครื่องสำอางที่มีส่วนผสมที่ไม่เหมาะสม ในขณะที่ผิวแห้งอาจทำให้เป็นฝ้าได้จากการที่ผิวระคายเคือง หรืออักเสบจากการที่ผิวขาดความชุ่มชื้น แต่ถือว่ามีความเสี่ยงในการเป็นฝ้าที่น้อยกว่า เนื่องจากผิวไม่มีการอุดตัน หรือการเกิดสิวบ่อย ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเป็นฝ้าในผิวมัน
ผิวแห้ง กับ ผิวมัน มีผลต่อความรุนแรงของฝ้าไหม ?
ผิวแห้ง และผิวมันมีผลต่อความรุนแรงของฝ้าได้ โดยแต่ละสภาพผิวมีปัจจัยที่อาจทำให้ฝ้ารุนแรงขึ้นได้ ดังนี้
- ผิวแห้ง เสี่ยงต่อการเป็นฝ้าที่รุนแรงขึ้นได้ จากการที่ผิวไวต่อแสงแดดและการระคายเคือง ทำให้ผิวมีเกราะป้องกันที่อ่อนแอ เมื่อเจอแสงแดดและรังสี UV จะทำให้ปัจจัยการกระตุ้นเหล่านี้เข้าสู่ผิวได้ง่ายกว่าปกติ ทำให้มีการผลิตเม็ดสีเมลานินที่เพิ่มมากขึ้นเพื่อปกป้องผิว จึงมีโอกาสที่ฝ้าจะเข้มขึ้น และขยายขอบเขตได้
- ผิวมัน เสี่ยงต่อการเป็นฝ้าที่รุนแรงขึ้นได้ จากการอักเสบของสิว และการสะสมมลภาวะ ซึ่งผู้ที่มีผิวมันจะมีการผลิตน้ำมันส่วนเกิน และการดูดซับแสง UV ทำให้ฝ้าเข้มขึ้นได้
การรักษาฝ้าในผู้ที่มีผิวแห้ง และ ผิวมัน ต่างกันไหม ?
การรักษาฝ้าในผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง และผู้ที่มีปัญหาผิวมัน มีความแตกต่างกันเพราะสภาพของผิวแต่ละประเภท ต้องการการดูแลที่ต่างกัน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหรือผลข้างเคียงอื่นที่อาจเกิดขึ้นได้ระหว่างการรักษาฝ้าได้ โดยการรักษาฝ้าในผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง และผู้ที่มีปัญหาผิวมัน แตกต่างกันดังนี้
1.การรักษาฝ้าในผู้ที่มีผิวแห้ง
- จะเน้นการรักษาฝ้าคู่ไปกับการเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว
- หลีกเลี่ยงการใช้ยาทารักษาฝ้าที่ทำให้ผิวลอก หรือผิวแห้งเพิ่ม
- ควรทาครีมกันแดดที่มี SPF สูง อย่างสม่ำเสมอ
- หลีกเลี่ยงการขัดผิวแรง ๆ และใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวสูตรอ่อนโยน
2.การรักษาฝ้าในผู้ที่มีผิวมัน
- ใช้ผลิตภัณฑ์รักษาฝ้าที่มีการช่วยควบคุมความมัน
- ผู้ที่มีผิวหน้ามันควรเลือกยาทาลดฝ้าที่ไม่ทำให้รูขุมขนอุดตันเพิ่ม และควรเป็นสูตรรักษาฝ้าที่ลดความมัน และลดการอักเสบของผิว
- หลีกเลี่ยงการใช้ครีมกันแดดเนื้อหนาหรือหนัก ควรใช้ครีมกันแดดที่ซึมซาบเร็ว และควบคุมความมัน
- หลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวพร้อมกันหลายชนิด เพื่อลดความเสี่ยงในการระคายเคือง
รวมวิธีการรักษาฝ้าในผู้ที่มีผิวแห้ง
การรักษาฝ้าในผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง ควรเลือกวิธีการรักษาฝ้าที่มีความอ่อนโยน และเหมาะกับสภาพผิว ควบคู่ไปกับการรักษาฝ้าที่มีการบำรุงให้ความชุ่มชื้นผิวควบคู่ไปด้วย เพื่อไม่ให้ผิวแห้งกร้านเพิ่มขึ้นระหว่างการรักษาฝ้า โดยวิธีการรักษาฝ้าในผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
- การทำเลเซอร์รักษาฝ้า
การรักษาฝ้าด้วยการทำเลเซอร์ในผู้ที่มีปัญหาผิวแห้งสามารถทำได้ด้วยเลเซอร์ที่มีความอ่อนโยนอย่างเลเซอร์ประเภท Q-Switched ที่มีความปลอดภัยสูง เหมาะสำหรับผู้ที่ผิวแห้ง ผิวบอกบางแพ้ง่าย โดยเลเซอร์ประเภทนี้จะสามารถรักษาฝ้าได้ด้วยการช่วยลดเม็ดสีได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง
แต่ทั้งนี้ในผู้ที่มีผิวแห้งที่ต้องการรักษาฝ้า อาจควรหลีกเลี่ยงเลเซอร์รักษาฝ้าที่รุนแรงเกินไป เช่น CO2 Laser หรือ Erbium Laser เพราะอาจทำให้ผิวแห้งมากขึ้น หรือเกิดการระคายเคืองได้
- การทำทรีตเมนต์ผิวเพื่อลดฝ้า
การทำทรีตเมนต์เพื่อลดฝ้า มักเป็นการทำควบคู่ไปกับการเติมความชุ่มชื้นให้กับผิว โดยการทำทรีตเมนต์บำรุงผิวที่ช่วยเติมความชุ่มชื้น มีหลากหลายประเภทที่เหมาะสำหรับผู้ที่มีผิวแห้งที่เป็นฝ้า โดยส่วนมากการลดฝ้าด้วยวิธีนี้จะเน้นการเติมความชุ่มชื้น เพื่อให้ผิวกลับมาแข็งแรง สดใส และเรียบเนียน
- การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวเพื่อรักษาฝ้า
การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวในการรักษาฝ้ามีหลายอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการใช้มอยส์เจอไรเซอร์ ,การครีมกันแดดที่เน้นความชุ่มชื้น หรือผลิตภัณฑ์ช่วยผลัดเซลล์ผิว ซึ่งการรักษาฝ้าด้วยวิธีนี้ ควรเลือกผลิตภัณฑ์รักษาฝ้าสูตรที่อ่อนโยนและเหมาะกับผิวหน้า ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง เน้นการเพิ่มความชุ่มชื้น และหลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่อาจทำให้ผิวแห้งเสียกว่าเดิม
- การทำ PRP (Platelet-Rich Plasma)
เป็นวิธีการรักษาฝ้าที่ใช้การฉีดพลาสมาเข้มข้นที่มีเกล็ดเลือด ในการบำรุงและฟื้นฟูผิว โดยเลือดที่ฉีดเป็นเลือดจากผู้รับการรักษาเอง ทำให้ความเสี่ยงในการแพ้หรือการเกิดผลข้างเคียงต่ำ ซึ่งผลการรักษาด้วย PRP ที่ได้จะช่วยในการซ่อมแซม และฟื้นฟูผิวหลายอย่าง รวมถึงการรักษาฝ้าด้วย อีกทั้งวิธีนี้ยังช่วยสร้างความชุ่มชื้น และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนได้อีกด้วย
- การทานยารักษาฝ้า
วิธีการรักษาฝ้าด้วยวิธีนี้เป็นการรักษาฝ้าจากภายในร่างกาย โดยการรับประทานยาที่มีคุณสมบัติในการยับยั้งการทำงานของ plasminogen ซึ่งช่วยลดการสร้างเม็ดสีผิวที่เป็นสาเหตุของฝ้า แต่การรักษาฝ้าด้วยวิธีนี้ต้องทำการรักษาภายใต้คำแนะนำและการดูแลจากแพทย์ และควรทำควบคู่ไปกับการป้องกันผิวจากแสงแดด เพื่อผลลัพธ์การรักษาฝ้าที่ดีที่สุด
ดังนั้นการรักษาฝ้าในผู้ที่มีผิวแห้งสามารถทำได้หลากหลายวิธี แต่ทุกวิธีมักเน้นไปที่การเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ควบคู่ไปกับการลดฝ้า และหลีกเลี่ยงการทำให้ผิวระคายเคืองเพิ่ม โดยผู้ที่มีผิวแห้งควรเลือกการรักษาที่เหมาะสมกับตัวเอง และหลีกเลี่ยงการรักษาฝ้าที่ทำให้ผิวแห้ง หรือเสี่ยงต่อการเกิดทำให้ผิวระคายเคือง
รวมวิธีการรักษาฝ้าในผู้ที่มีผิวมัน
ในการรักษาฝ้าในผู้ที่มี ผิวมัน ต้องเน้นไปที่การควบคุมความมันที่ผิวหน้า พร้อมกับการลดการเป็นฝ้าที่เกิดจากการสะสมของเม็ดสี โดยการรักษาฝ้าในผู้ที่มีปัญหาผิวมันสามารถทำได้หลายวิธี ดังนี้
- การใช้ผลิตภัณฑ์ควบคุมความมัน มีความสำคัญมากในการรักษาฝ้า เพราะปัญหาความมันส่วนเกินที่สามารถอุดตันรูขุมขน และกระตุ้นให้เกิดสิว อาจทำให้เป็นฝ้าที่รุนแรงมากขึ้นได้ ซึ่งการทำความสะอาดใบหน้า และลดความมันด้วยผลิตภัณฑ์ควบคุมความมัน จะช่วยลดการสะสมของน้ำมัน และเซลล์ผิวที่ตายแล้ว อีกทั้งยังสามารถลดการเกิดสิวและการอุดตัน ซึ่งจะช่วยป้องกันไม่ให้ฝ้ารุนแรงขึ้นได้อีกด้วย
- การใช้เลเซอร์รักษาฝ้า
ในผู้ที่มีปัญหาผิวมันสามารถรักษาฝ้า ด้วยการทำเลเซอร์ได้เช่นเดียวกัน โดยสามารถใช้เทคโนโลยี Q-Switched Nd ที่มีความเหมาะกับผู้ที่มีผิวมันและเป็นฝ้า โดยการทำเลเซอร์เพื่อรักษาฝ้านั้นจะลดการสะสมของเม็ดสี และกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ทำให้ฝ้าลดลงได้
ทั้งนี้เลเซอร์รักษาฝ้าทั้งสองมีข้อดี และข้อเสียที่แตกต่างกัน ผู้ที่ต้องการรักษาฝ้าด้วยวิธีนี้ สามารถปรึกษาแพทย์เพื่อตัดสินใจเลือกเลเซอร์รักษาฝ้าที่เหมาะกับสภาพผิวตัวเองได้ เพื่อผลลัพธ์การรักษาฝ้าที่มีประสิทธิภาพ
- การรักษาฝ้าด้วยการใช้ทรีตเมนต์บำรุงผิว
การรักษาฝ้าวิธีนี้เป็นการใช้ทรีตเมนต์ต่างๆ ที่มีส่วนผสมเฉพาะเพื่อช่วยลดการเป็นฝ้าและปรับสีผิวให้สม่ำเสมอ ซึ่งทรีตเมนต์ที่ใช้ในการรักษาฝ้ามักมีส่วนประกอบที่ช่วยยับยั้งการผลิตเม็ดสี โดยการทำทรีตเมนต์เพื่อการรักษาฝ้ามีหลายแบบ แต่ทั้งหมดมุ่งเน้นไปที่การลดการอักเสบ ลดการผลิตเม็ดสีเมลานิน และกระตุ้นการผลัดเซลล์ผิวใหม่ เพื่อให้ผิวดูกระจ่างใส เรียบเนียนขึ้น
- การรักษาฝ้าด้วยการรับประทานยา
การรักษาฝ้าด้วยวิธีนี้เป็นการรักษาด้วยการรับประทานยาที่มีส่วนช่วยในการปรับสมดุลภายในร่างกาย และลดการผลิตเม็ดสีเมลานินที่เป็นสาเหตุของฝ้า ทำให้ฝ้าค่อย ๆ ลดและจางลง แต่การรักษาฝ้าด้วยวิธีนี้ต้องทำการรักษาภายใต้คำแนะนำของแพทย์เพื่อความปลอดภัย
- การรักษาฝ้าด้วยการใช้วิธีธรรมชาติ
การรักษาฝ้าด้วยวิธีนี้ เป็นการรักษาที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง เช่น การดื่มน้ำ ,การทานอาหารที่มีประโยชน์ หรือการหลีกเลี่ยงการสัมผัสแสงแดด = แต่การรักษาฝ้าด้วยวิธีนี้อาจต้องใช้ความสม่ำเสมอ และใช้ระยะเวลาที่ยาวนานมากกว่าวิธีการรักษาฝ้าอื่น ๆ
สรุปแล้วการรักษาฝ้าในผู้ที่มีปัญหาผิวมันจะเน้นไปที่การควบคุมความมันบนผิว พร้อมกับฟื้นฟูและลดฝ้า โดยการรักษาฝ้าในผู้ที่มีปัญหาผิวมันควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์หรือวิธีการรักษาที่ไม่ทำให้ผิวมันเพิ่มขึ้น และควรเลือกวิธีที่เหมาะสมกับตัวเอง ไม่ทำให้ผิวอักเสบเพิ่ม
ผิวแห้งและผิวมันสามารถทำให้เป็นฝ้าได้ทั้งคู่ แต่ผู้ที่มีปัญหาผิวมันมีโอกาสในการเป็นฝ้าได้มากกว่าในผู้ที่มีปัญหาผิวแห้ง เพราะผิวมันมีปัจจัยเสี่ยงในการกระตุ้นการเป็นฝ้าได้มากกว่าผิวแห้ง ซึ่งปัญหาผิวทั้งสองประเภทสามารถกระตุ้นในฝ้ามีความรุนแรงมากกว่าขึ้นได้ด้วยปัจจัยที่แตกต่างกันออก
และการรักษาฝ้าในผู้ที่มีผิวแห้งจะมุ่งเน้นไปที่การเพิ่มความชุ่มชื้นพร้อมกับการฟื้นฟูและรักษาฝ้า ในขณะที่การรักษาฝ้าในผู้ที่มีผิวมันจะเน้นไปที่การลดฝ้า ลดการอักเสบของผิว พร้อมกับการควบคุมความมัน