ในปัจจุบันนี้ทั้งมลภาวะและแสงแดดค่อนข้างรุนแรงทีเดียว จึงกลายมาเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ผิวหน้าถูกทำร้ายจนเผชิญกับปัญหาผิวมากมาย ไม่ว่าจะเป็นรอยสิว, จุดด่างดำ, ฝ้า, กระ, รอยดำ, รอยแดง หรือปัญหาสีผิวที่หมองคล้ำ แต่ด้วยนวัตกรรมเสริมความงามที่มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ปัญหาผิวน่ากลุ้มใจเหล่านี้จึงสามารถแก้ไขได้ง่าย ๆ ด้วยนวัตกรรม ‘เลเซอร์หน้าใส’
ใครที่กำลังกังวลหรือขาดความมั่นใจกับสภาพผิวหน้าของตัวเอง แต่ไม่อยากฉีด Rejuran หรือ ฉีดชาแนล ซึ่งจัดอยู่ในกลุ่มเมโสหน้าใส และกำลังลังเลว่าจะทำเลเซอร์หน้าใสดีไหม เราก็ได้รวบรวมข้อมูลต่าง ๆ มากมายของนวัตกรรมเลเซอร์หน้าใสมาให้คุณที่นี่แล้ว อีกทั้งยังจะพาคุณมาไขข้อสงสัยที่มักพบเจออยู่บ่อย ๆ เช่น ทำเลเซอร์หน้าใสกี่ครั้งเห็นผล? ทำเลเซอร์หน้าใสเจ็บไหม? หรือ ควรทำเลเซอร์หน้าใสบ่อยแค่ไหน? เป็นต้น
เลเซอร์หน้าใส คืออะไร
เลเซอร์หน้าใสคือนวัตกรรมหรือเทคโนโลยีเสริมความงามที่จะช่วยกระตุ้นให้ผิวหน้าสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นและลดระยะเวลาที่ใช้ในการผลัดเซลล์เม็ดสีให้สั้นลง เพื่อให้ใบหน้าดูกระจ่างใสมากยิ่งขึ้นภายในเวลาเพียงไม่นาน โดยเลเซอร์หน้าใสนั้นจะเป็นการใช้อุปกรณ์ยิงพลังงานเลเซอร์ไปบนผิวหน้าตามจุดต่าง ๆ ที่ต้องการ ไม่ว่าจะเป็นจุดด่างดำบนใบหน้า, รอยดำรอยแดงจากสิว, ฝ้ากระจากแสงแดด, รอยหลุมจากสิว รวมไปถึงบริเวณที่สีผิวไม่สม่ำเสมอกัน
เลเซอร์หน้าใสดีอย่างไร?
ถึงแม้ว่าการปรับสภาพผิวหน้าให้ดูดีและกระจ่างใสนั้นจะสามารถทำได้หลายวิธีค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการบำรุงผิวหน้าด้วยเซรั่ม, โลชั่น หรือการมาส์กหน้าก็ตาม แต่วิธีเหล่านี้ล้วนใช้ระยะเวลานานกว่าจะมองเห็นผลลัพธ์ได้อย่างชัดเจน จึงทำให้ผู้ที่ต้องการปรับสภาพผิวหน้าอย่างเร่งด่วนหันมาเลือกใช้บริการเลเซอร์หน้าใสแทน ซึ่งการเลเซอร์หน้าใสนอกจากจะโดดเด่นในเรื่องของระยะเวลาที่จะแสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์แล้ว ยังมีประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย ดังนี้
ประโยชน์ของการเลเซอร์หน้าใส
- ช่วยปรับสีผิวให้สม่ำเสมอกันทั่วทั้งใบหน้า
- ช่วยลดรอยดำ, รอยแดง, ฝ้า, กระ และปัญหาจุดด่างดำบนใบหน้าให้แลดูจางลง
- ช่วยแก้ปัญหาหลุมสิวหรือร่องรอยบาดแผลจากสิวตื้นขึ้น
- ช่วยปรับรูขุมขนบนใบหน้าให้มีขนาดเล็กลง และมีความกระชับมากยิ่งขึ้น
- ช่วยลดเลือนริ้วรอยร่องตื้นหรือริ้วรอยเพียงบาง ๆ บนใบหน้า
- ช่วยปรับผิวหน้าให้เพอร์เฟกต์ กระจ่างใสได้อย่างรวดเร็วทันใจ
เลเซอร์หน้าใสอันตรายไหม?
การทำเลเซอร์หน้าใสนั้นจะเป็นการนำเครื่องยิงเลเซอร์มาปล่อยหรือยิงพลังงานลงไปบนผิวหน้าตามจุดที่ต้องการหรือทั่วทั้งใบหน้า และเมื่อพลังงานที่ยิงออกมาไปจับกับเซลล์เม็ดสี (Melanin) จะส่งผลให้เซลล์เม็ดสีถูกผลัดเร็วยิ่งขึ้น ทั้งยังเป็นส่วนช่วยในการกระตุ้นเซลล์ผิวบนใบหน้าให้เกิดเซลล์ผิวใหม่ขึ้นมาทดแทนเซลล์ผิวเก่าอีกด้วยค่ะ
ซึ่งการทำเลเซอร์หน้าใสจัดได้ว่าเป็นนวัตกรรมเสริมความงามที่ปลอดภัยมากทีเดียว หากเลือกใช้บริการกับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และมีความน่าเชื่อถือ แต่ทั้งนี้ในบุคคลบางกลุ่มก็ควรหลีกเลี่ยงการทำเลเซอร์หน้าใสเช่นเดียวกัน เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อสุขภาพหรือใบหน้าได้ เช่น ผู้ที่กำลังตั้งครรภ์, ผู้ที่กำลังให้นมบุตร, ผู้ที่มีสิวหัวหนองหรือสิวอักเสบ, ผู้ที่ป่วยโรคผิวหนัง หรือผู้ที่บนใบหน้ามีบาดแผลสดหรือแผลผ่าตัดซึ่งยังไม่ครบ 6 เดือน หากต้องการทำเลเซอร์หน้าใสแนะนำให้รักษาปัญหาเหล่านี้ให้หายเสียก่อนนะคะ เพื่อความปลอดภัย
เลเซอร์หน้าใสเหมาะกับใครบ้าง
เมื่อผิวหน้าเผชิญปัญหาจนขาดความมั่นใจ ไม่ว่าใครก็คงวิตกกังวลและมองหาหนทางการแก้ไขทั้งสิ้น ซึ่งการทำเลเซอร์หน้าใสก็ถือได้ว่าแก้ปัญหาผิวหน้าได้ค่อนข้างครอบคลุมทีเดียว ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้เลเซอร์หน้าใสได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มผู้เผชิญปัญหาผิวหน้าดังต่อไปนี้
- ผู้ที่ผิวหน้าขาดการบำรุงดูแล
- ผู้ที่มีปัญหารูขุมขนกว้าง และไม่กระชับ
- ผู้ที่กังวลใจกับร่องรอยแผลเป็นจากการเกิดสิวหรือหลุมสิว
- ผู้ที่ต้องการลดปัญหารอยแดง, รอยดำ, ฝ้า, กระ หรือจุดด่างดำ ให้แลดูจางลง
- ผู้ที่ต้องการปรับสภาพผิวใบหน้าที่หมองคล้ำและไม่สม่ำเสมอให้แลดูกระจ่างใสทั่วทั้งใบหน้า
- ผู้ที่ต้องการปรับสภาพผิวหน้าอย่างเร่งด่วน
เลเซอร์หน้าใสมีกี่แบบ
เลเซอร์หน้าใสมีการแบ่งแยกออกมาหลายแบบด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นเลเซอร์หน้าใส Dual Yellow, เลเซอร์หน้าใส Q-Switch รวมไปถึงเลเซอร์หน้าใส Fractional CO2 โดยเลเซอร์หน้าใสแต่ละแบบเองก็มีความแตกต่างกันไปทั้งคลื่นพลังงานที่ใช้ และความโดดเด่นเฉพาะตัว
1. Dual Yellow
Dual Yellow เป็นเลเซอร์หน้าใสที่ผสมรวมกันระหว่างคลื่นเลเซอร์แสงสีเหลืองความยาว 578nm กับคลื่นเลเซอร์แสงสีเขียวความยาว 511nm ซึ่งเป็นเลเซอร์หน้าใสที่จะช่วยแก้ปัญหาผิวหน้าเฉพาะจุดใดจุดหนึ่งได้ อีกทั้งยังมีความอ่อนโยนต่อผิวหน้ามากกว่าเลเซอร์หน้าใสแบบอื่น ๆ จึงไม่ต้องคอยกังวลว่าผิวหน้าจะเกิดความเสียหาย โดยเลเซอร์หน้าใส Dual Yellow นั้นจะช่วยในเรื่องของรอยต่าง ๆ บนใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นรอยดำ, รอยแดง, ฝ้า หรือกระ
2. Q-Switch
Q-Switch เป็นเลเซอร์หน้าใสที่มีความยาวคลื่น 532nm และ 1064nm ซึ่งนอกจากจะสามารถสลายเม็ดสีได้ลึกถึงชั้นหนังแท้แล้ว ยังมีส่วนช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอีกด้วย โดยเลเซอร์หน้าใส Q-Switch ความยาวคลื่น 532nm จะช่วยลบรอยปานแดงบนผิวชั้นตื้น ส่วนเลเซอร์หน้าใส Q-Switch ที่มีความยาวคลื่น 1064nm นั้นจะช่วยลบรอยสักที่มีสีเข้มและรอยแผลเป็นต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องรักษาลงลึกถึงชั้นหนังแท้
3. Fractional CO2
Fractional CO2 เป็นเลเซอร์หน้าใสที่ยิงลำแสงขนาดเล็กซึ่งมีความยาวคลื่น 10600nm สำหรับสร้างรอยแผลในผิวหนังให้เกิดรูขนาดเล็ก เพื่อกระตุ้นให้ผิวหน้ามีการผลัดเซลล์ผิวเก่าออก และสร้างเซลล์ผิวใหม่มาแทน จึงทำให้เลเซอร์หน้าใส Fractional CO2 มีส่วนช่วยปรับให้หลุมสิวแลดูตื้นขึ้น นอกจากนี้ยังสามารถใช้ในการกระชับรูขุมขนและลดเลือนริ้วรอยร่องตื้นบนใบหน้าได้อีกด้วย
เตรียมตัวก่อนทำเลเซอร์หน้าใส
สิ่งสำคัญที่ควรรู้ก่อนที่จะทำเลเซอร์หน้าใสก็คือ วิธีการเตรียมตัวอย่างถูกต้องนั่นเอง เนื่องจากการทำเลเซอร์หน้าใสนั้นจะส่งผลต่อชั้นผิวโดยตรง ซึ่งถ้าหากไม่มีการเตรียมตัวที่ดีก็อาจทำให้ผิวหน้าเสียหายได้ ดังนั้นเพื่อผลลัพธ์ของการทำเลเซอร์หน้าใสได้รับความพึงพอใจ และลดอัตราความผิดพลาดให้ได้มากที่สุด จึงควรมีการเตรียมตัวดังต่อไปนี้
- รับประทานอาหารให้ครบถ้วนทั้ง 5 หมู่ เพื่อให้ร่างกายมีกระบวนการเสริมสร้างคอลลาเจนที่ดียิ่งขึ้น
- ป้องกันไม่ให้ผิวหน้าถูกทำร้ายจากแสงแดด โดยหลีกเลี่ยงการเผชิญกับแสงแดดโดยตรง รวมถึงเลือกทาครีมกันแดด SPF สูง ก่อนที่จะเข้าทำเลเซอร์หน้าใสประมาณ 4-6 สัปดาห์ เพื่อไม่ให้ผิวหน้าเกิดความระคายเคือง
- งดทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าที่มีส่วนผสมของเรตินอยด์, AHA หรือ BHA ซึ่งมีฤทธิ์เป็นกรด เพราะส่วนผสมดังกล่าวจะมีส่วนทำให้ผิวหน้าเกิดการผลัดเซลล์ผิวออก จนทำให้ผิวหน้าไวต่อความร้อนและแสงต่าง ๆ ได้
- เลือกทาผลิตภัณฑ์บำรุงผิวหน้าที่ช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นของผิวได้ดี เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวหน้าขาดน้ำหรือแห้งจนเกินไป ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดความเจ็บหรือแสบในขณะที่ทำเลเซอร์หน้าใสได้
- ในกรณีที่มีแผลสดบนใบหน้าควรปรึกษาแพทย์ก่อนเข้าทำเลเซอร์หน้าใส เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงที่จะติดเชื้อจากการทำเลเซอร์หน้าใส
ขั้นตอนการทำเลเซอร์หน้าใส
สำหรับขั้นตอนการทำเลเซอร์หน้าใสนั้นจะมีเพียง 4 ขั้นตอนเท่านั้น คือ
- เช็ดทำความสะอาดใบหน้าให้สะอาดหมดจดก่อนเริ่มทำเลเซอร์หน้าใส
- สวมใส่แว่นกันแสงหรือผ้าปิดตาเพื่อป้องกันไม่ให้ดวงตาถูกทำร้ายจากเลเซอร์
- ทายาชาหรือเจลเย็นลงบนผิวหน้าเพื่อบรรเทาอาการเจ็บหรือแสบในขณะที่ทำเลเซอร์หน้าใส
- เริ่มทำเลเซอร์หน้าใสโดยการยิงเลเซอร์ลงบนผิวหน้าหรือจุดที่ต้องการแก้ปัญหาผิว
ผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังจากทำเลเซอร์หน้าใส
นอกจากการเตรียมตัวอย่างถูกต้องแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่จำเป็นต้องรู้ก่อนตัดสินใจทำเลเซอร์หน้าใสก็คือการรู้ถึงผลข้างเคียงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นนั่นเอง ที่สำคัญยังช่วยให้คุณพร้อมที่จะรับมือกับอาการต่าง ๆ เหล่านี้ได้โดยไม่ตื่นตระหนก ซึ่งผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นหลังจากทำเลเซอร์หน้าใสมีดังต่อไปนี้
- ในช่วงระยะเวลา 5-7 วันแรงหลังจากทำเลเซอร์หน้าใสผิวหน้าอาจเกิดภาวะแห้งกร้านหรือผิวลอก
- การทำเลเซอร์หน้าใสบางแบบอาจเกิดสะเก็ดขึ้นบนใบหน้าหลังจากทำเลเซอร์หน้าใสได้ ทว่าสะเก็ดจะสามารถหลุดออกเองได้เมื่อเวลาผ่านไป 5-7 วัน
- หลังทำเลเซอร์หน้าใส ผิวหน้าสามารถเกิดการอักเสบหรือบวมแดงขึ้นได้ แต่ก็สามารถหายได้เองโดยไม่ต้องรักษาเพิ่มเติม
- ในบางกรณีหลังทำเลเซอร์หน้าใสแล้วอาจเกิดสิวขึ้นบนใบหน้า หรือไปกระตุ้นโรคผิวหนังได้ เช่น เริมบริเวณริมฝีปาก เป็นต้น
- หลังทำเลเซอร์หน้าใสผิวหน้าหรือจุดที่ยิงเลเซอร์อาจมีสีเข้มขึ้นได้ ทั้งนี้ก็สามารถปรับสีผิวที่เข้มขึ้นนี้ให้จางลงได้โดยการทา Bleaching Cream เพื่อเป็นการลดการทำงานของเม็ดสี
ทำเลเซอร์หน้าใสที่ไหนดี
การจะเลือกทำเลเซอร์หน้าใสสักแห่งหนึ่งจำเป็นที่จะต้องพิจารณาถึงปัจจัยต่าง ๆ ให้รอบด้าน เพื่อให้ผลลัพธ์ที่คุณได้จากการทำเลเซอร์หน้าใสนั้นน่าพึงพอใจ, ปลอดภัย และคุ้มค่ามากที่สุด โดยปัจจัยต่าง ๆ ที่ควรนำมาพิจารณาสำหรับการเลือกคลินิกเลเซอร์หน้าใสมีดังนี้
- คลินิกเลเซอร์หน้าใสที่มีความน่าเชื่อถือ
- ตำแหน่งที่ตั้งของคลินิกสามารถเดินทางได้อย่างสะดวก
- มีการนำเทคโนโลยีที่ได้มาตรฐานและทันสมัยมาใช้ในการทำเลเซอร์หน้าใส
- ทีมแพทย์ที่ให้บริการในคลินิกมีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน
- มีแพทย์ผู้มากประสบการณ์คอยให้คำปรึกษาเพื่อให้การทำเลเซอร์หน้าใสสามารถแก้ปัญหาผิวหน้าได้อย่างตรงจุด
- ภายในคลินิกจะต้องมีอุปกรณ์หรือเครื่องมือต่าง ๆ ที่สะอาดอยู่เสมอ
รีวิวเลเซอร์หน้าใส
“หลังจากที่ได้ไปทำเลเซอร์หน้าใสโปรแกรม Smart Laser กับคลินิก Romrawin มาจะเห็นได้ว่าหน้าสว่างกระจ่างใสขึ้นมาก และรอยดำจากสิวเองก็จางลงอย่างเห็นได้ชัด แถมตอนทำเลเซอร์หน้าใสก็ไม่เจ็บไม่แสบใด ๆ สบายสุด ๆ ผลลัพธ์ที่ได้ทำให้มั่นใจกับผิวหน้าตัวเองมาก”
โปรโมชันเลเซอร์หน้าใสราคาพิเศษ
เลเซอร์หน้าใสราคาเริ่มต้นที่ 3,000-8,000 บาท ขึ้นกับโปรแกรมเลเซอร์หน้าใส และค่าบริการอื่น ๆ ที่ทางคลินิกกำหนด
คำถามที่พบบ่อย
1. ทำเลเซอร์หน้าใสกี่ครั้งเห็นผล?
โดยปกติแล้วการทำเลเซอร์หน้าใสนั้นจะสามารถมองเห็นผลลัพธ์ได้ทันทีหลังจากทำเพียงครั้งเดียว แต่การทำต่อเนื่องกันประมาณ 3-5 ครั้งจะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจและเห็นได้อย่างชัดเจนมากกว่า ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับประเภทของเลเซอร์ที่เลือกทำด้วยเช่นเดียวกัน รวมถึงสภาพปัญหาผิวหน้าของแต่ละบุคคล
2. เลเซอร์หน้าใสเจ็บไหม?
ถึงแม้ว่าความเจ็บปวดในขณะที่ทำเลเซอร์หน้าใสจะอยู่ในระดับที่สามารถทนได้ แต่ความเจ็บปวดขณะที่ทำเลเซอร์หน้าใสเองก็แตกต่างกันไปตามประเภทเลเซอร์ที่ใช้เช่นเดียวกัน โดยเลเซอร์หน้าใสประเภทที่ไม่ทำให้เกิดแผลจะเป็นการปล่อยพลังงานลงไปยังผิวชั้นใน จึงทำให้ความเจ็บปวดที่ได้รับมีเพียงเล็กน้อย ส่วนเลเซอร์หน้าใสประเภทลอกผิวจะเป็นการลอกชั้นผิวบาง ๆ ออกด้วยความร้อนจากเลเซอร์ ดังนั้นความเจ็บปวดที่ได้รับจากการทำเลเซอร์หน้าใสประเภทนี้จะมีมากกว่า
3. ต้องทำเลเซอร์หน้าใสบ่อยแค่ไหน?
เลเซอร์หน้าใสสามารถทำบ่อยเท่าไหร่ก็ได้ตามความต้องการ เนื่องจากตามธรรมชาติแล้วผิวหน้าจะมีการผลัดเซลล์ผิวในทุก ๆ 4 สัปดาห์ ดังนั้นสามารถหมดห่วงว่าผิวหน้าจะบางได้เลย เพียงแต่ว่าการทำเลเซอร์หน้าใสแต่ละครั้งนั้นจำเป็นที่จะต้องเว้นระยะห่างกันประมาณ 4-6 สัปดาห์เพื่อไม่ให้ผิวหน้าถูกทำร้ายมากจนเกินไป
เลเซอร์หน้าใสกับเรา
บริการเลเซอร์หน้าใสกับ Romrawin คลินิกเสริมความงามที่จะช่วยแก้ปัญหาผิวหน้าให้กับคุณได้อย่างตรงจุดและน่าพึงพอใจ ด้วยทีมแพทย์มากประสบการณ์ที่จะคอยให้บริการครบถ้วนรอบด้าน ตั้งแต่การให้คำแนะนำ, ทำการรักษา รวมไปถึงการออกแบบโปรแกรมที่เหมาะกับสภาพผิวของคุณ โดยโปรแกรมเลเซอร์หน้าใสของทาง Romrawin ในปัจจุบันจะมีทั้งหมดดังนี้
1. Smart Laser
Smart Laser เป็นโปรแกรมเลเซอร์หน้าใสที่ใช้เลเซอร์ 2 แบบซึ่งมีความยาวคลื่นแตกต่างกันมาแก้ปัญหาผิวหน้า ได้แก่ เลเซอร์แสงสีเหลืองความยาวคลื่น 578nm และเลเซอร์แสงสีเขียวความยาวคลื่น 511nm โดยเลเซอร์แสงสีเหลืองจะปล่อยพลังงานไปยังเส้นเลือดฝอยขนาดเล็ก เพื่อช่วยลดการอักเสบของสิว, ลดรอยแดงจากสิว และลดรอยช้ำที่เกิดขึ้นจากการกดสิวบนใบหน้า
ส่วนเลเซอร์แสงสีเขียวนั้นจะช่วยลดรอยดำจากสิว, ความหมองคล้ำ และปรับสีผิวที่ไม่สม่ำเสมอให้กระจ่างใสมากยิ่งขึ้น ดังนั้นเลเซอร์หน้าใส Smart Laser จึงเหมาะอย่างมากสำหรับผู้ที่มีปัญหาร่องรอยต่าง ๆ จากสิวหรือมีจุดด่างดำบนใบหน้า
2. Super Smart FEM
Super Smart FEM เป็นโปรแกรมเลเซอร์หน้าใสที่อ่อนโยนและนุ่มนวลมากที่สุด ในขณะทำจะรู้สึกแค่อุ่น ๆ เท่านั้น อีกทั้งหลังทำเลเซอร์หน้าใสยังไม่จำเป็นต้องคอยหลบเลี่ยงแสงแดดอีกด้วย ซึ่งเลเซอร์หน้าใส Super Smart FEM จะช่วยให้ปริมาณสาร VEGF ที่จะไปกระตุ้นให้เม็ดสีถูกผลิตออกมาเกินนั้นลดน้อยลง และยิงเลเซอร์ฝ้ากระบนใบหน้าเพื่อแก้ปัญหาได้
นอกจากนี้ยังมีส่วนช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนเพื่อลดเลือนริ้วรอยให้แลดูจางลงอีกด้วย ดังนั้นเลเซอร์หน้าใส Super Smart FEM จึงเหมาะอย่างมากสำหรับผู้ที่มีปัญหาฝ้า, กระ, จุดด่างดำ หรือผู้ที่ต้องเผชิญกับแสงแดดอยู่บ่อยครั้ง
3. Shining Bright
Shining Bright เป็นโปรแกรมเลเซอร์หน้าใสที่ถูกพัฒนาต่อมาจาก FEM Technology ที่สามารถปล่อยพลังงานลงสู่ชั้นผิวได้มากกว่าเดิมถึง 5 เท่า ซึ่งทำให้ปัญหาผิวหน้าได้รับการแก้ไขดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาฝ้า, กระ, รอยดำ, รอยแดง, ผิวหมองคล้ำ หรือความผิดปกติต่าง ๆ ของเม็ดสี
โดยเลเซอร์หน้าใส Shining Bright จะช่วยให้ปริมาณสาร VEGF ลดน้อยลงและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน จึงส่งผลให้ใบหน้าแลดูกระจ่างใสและกระชับเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น ดังนั้นเลเซอร์หน้าใส Shining Bright จึงเหมาะอย่างมากสำหรับผู้ที่มีปัญหาฝ้า, กระ, รอยดำ, รอยแดง, จุดด่างดำ, สีผิวหมองคล้ำไม่สม่ำเสมอ หรือผิวที่ขนาดความกระชับ
อ้างอิง
Robyn (2022). What Are The Side Effects Of Laser Treatments?. Retrieved July 27, 2023. from
https://www.beautybylaser.co.uk/blog/2022/02/what-are-the-side-effects-of-laser-treatments/
ABCS (2021). Laser Skin Resurfacing: Top 8 Things You Need to Know. Retrieved July 27, 2023. from https://www.americanboardcosmeticsurgery.org/skin-resurfacing/the-top-8-things-you-need-to-know-about-laser-skin-resurfacing/