หลายคนมีความกังวล เมื่อพบว่าผิวของตนมีรอยย่นรอยแตกจากเซลลูไลท์ จะเลือกใส่เสื้อผ้าทีต้องคิดแล้วคิดอีกเพื่อปิดบังร่องรอยแตกบนผิว ในบทความนี้ รมย์รวินท์คลินิกจะพาคุณไปรู้จักกับเซลลูไลท์ ตัวการทำให้ผิวกลายเป็นเปลือกส้ม พร้อมแนะนำวิธีกำจัดเซลลูไลท์ที่ต้นขาและที่อื่น ๆ ทั้งรูปแบบธรรมชาติและการทำหัตถการโดยแพทย์เฉพาะทางกันค่ะ
เซลลูไลท์ คืออะไร? ทำไมถึงเรียกกันว่า ‘ผิวเปลือกส้ม’?
เซลลูไลท์ คือ ลักษณะของผิวแบบหนึ่งที่มีไขมันแทรกอยู่ตามเส้นใยคอลลาเจนเป็นจำนวนมาก จึงทำให้ลักษณะผิวภายนอกดูไม่เรียบเนียน ขรุขระ แตกลายคล้ายเปลือกส้ม หลายคนจึงเรียกผิวเซลลูไลท์ว่า ‘ผิวเปลือกส้ม’
ซึ่งเซลลูไลท์จะไม่ได้เกิดขึ้นทั่วร่างกายพร้อม ๆ กัน แต่ส่วนมากมักจะพบบริเวณผิวที่มีไขมันสะสมใต้ผิวหนังปริมาณมาก ๆ ค่ะ ดังนั้นในคนที่มีน้ำหนักเกินจึงพบลักษณะผิวเซลลูไลท์ได้มากกว่าคนผอมนั่นเอง
โดยเซลลูไลท์เป็นเพียงลักษณะผิวที่ไม่สวยงาม แต่ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพกายแต่อย่างใด หากใครที่กำลังมีร่องรอยแตกจากเซลลูไลท์อยู่ก็ไม่ต้องกังวลใจไป แต่ถ้าคุณเป็นหนึ่งในผู้ที่กังวลเรื่องรูปลักษณ์ ก็สามารถเลือกกำจัดเซลลูไลท์ด้วยวิธีต่าง ๆ ได้เช่นกัน
รู้จักโครงสร้างผิวหนัง และกลไกการเกิดเซลลูไลท์ที่ผิว
โครงสร้างของผิวหนังมนุษย์สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 ชั้นหลัก ๆ คือ ชั้นหนังกำพร้า ชั้นหนังแท้ และชั้นไขมันใต้ผิวหนัง โดยปกติแล้วชั้นไขมันใต้ผิวหนังจะอยู่ด้านล่างสุดของชั้นผิว ประกอบด้วยไขมัน ทำหน้าที่ให้ความอบอุ่น กักเก็บพลังงานให้กับร่างกาย ลดแรงกระแทกไม่ให้เกิดอันตรายต่ออวัยวะภายใน และผลิตฮอร์โมนบางชนิด นอกจากนี้ที่ชั้นไขมันใต้ผิวหนังยังมีหลอดเลือดแทรกอยู่มากมาย ใช้เป็นทางสำหรับส่งสารอาหารและขับของเสียภายในร่างกาย
แต่เมื่อไหร่ที่ชั้นไขมันใต้ผิวมีไขมันจำนวนมาก แล้วไปดันหรือไปเกาะตามเนื้อเยื่อเส้นใยคอลลาเจน จะทำให้เกิดลักษณะเป็นคลื่นไม่เรียบให้เห็นที่ผิวภายนอก กลายเป็นที่มาของผิวเปลือกส้มหรือเซลลูไลท์นั่นเอง โดยกลไกการเกิดเซลลูไลท์สามารถแบ่งออกได้ 2 รูปแบบ คือ
- กลไกการเกิดเซลลูไลท์จากคอลลาเจนอ่อนแอ : เมื่อเส้นใยคอลลาเจนอ่อนแอ จึงทำให้ไขมันสามารถแทรกตัวขึ้นมาตามเส้นใยคอลลาเจนได้ ทำให้ผิวภายนอกดูเป็นคลื่นไม่สม่ำเสมอ
- กลไกการเกิดเซลลูไลท์จากระบบไหลเวียนไม่ดี : เมื่อระบบไหลเวียนเลือดทำงานไม่ดี อาทิ ผนังหลอดเลือดขาดความยืดหยุ่น ของเสียมีโอกาสที่จะไปสะสมอยู่กับไขมันแทน ทำให้ไขมันใต้ผิวหนังใหญ่และบวมขึ้น กลายเป็นลักษณะของเซลลูไลท์ขึ้น
ซึ่งการเกิดเซลลูไลท์นั้นจะมีพังผืดและมีเส้นใยเกี่ยวพันอยู่มาก จึงทำให้การกำจัดเซลลูไลท์นั้นยากกว่าการลดไขมันปกติ หลายครั้งจึงสังเกตได้ว่า ถึงแม้จะลดน้ำหนักแล้วแต่รอยแตกลายจากเซลลูไลท์ก็ยังคงอยู่ค่ะ
เซลลูไลท์ เกิดจากสาเหตุและปัจจัยใดได้บ้าง?
หากเราทราบถึงสาเหตุและปัจจัยที่ก่อให้เกิดเซลลูไลท์ก่อน ก็มีโอกาสที่จะหลีกเลี่ยงและป้องกันตนเองจากการเกิดเซลลูไลท์ได้ค่ะ ไปดูกันว่าเซลลูไลท์เกิดจากอะไรได้บ้าง?
- การรับประทานอาหารมากเกินไป : อาหารเป็นแหล่งพลังงานให้กับร่างกาย แต่เมื่อเรารับประทานอาหารมากเกินไปจึงทำให้ได้รับพลังงานมากเกินที่ร่างกายต้องการ พลังงานส่วนเกินเหล่านี้จึงถูกนำไปจัดเก็บในรูปแบบไขมันสะสม และมีโอกาสที่จะกลายเป็นเซลลูไลท์ต่อไป
- การรับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ : ถึงแม้ว่าเราจะรับประทานอาหารแค่พออิ่ม แต่หากอาหารที่เลือกรับประทานเป็นอาหารที่มีพลังงานสูง โดยเฉพาะอาหารที่อุดมไปด้วยไขมัน แป้ง และน้ำตาล ก็สามารถทำให้ร่างกายได้พลังงานมากเกินไปจนไปสะสมในรูปแบบไขมันเช่นกัน
- ขาดการออกกำลังกาย : นอกจากการออกกำลังกายจะช่วยเผาผลาญพลังงานที่เราได้รับจากการรับประทานอาหารออกไป ยังสามารถช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและน้ำเหลืองอีกด้วย หากขาดการขยับร่างกายจะทำให้ร่างกายขับของเสียได้ยาก และสะสมในไขมันกลายเป็นเซลลูไลท์ได้ง่ายขึ้น
- การลดน้ำหนักผิดวิธี : เมื่อร่างกายสูญเสียพลังงานมากเกินไป จะทำให้ร่างกายสะสมพลังงานในรูปแบบไขมันมากขึ้นเพื่อทดแทนพลังงานที่เสียไป จึงทำให้มีเซลลูไลท์ขึ้นทั้ง ๆ ที่น้ำหนักลดนั่นเอง
- พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม : พฤติกรรมบางอย่างสามารถเป็นปัจจัยหนึ่งของการเกิดเซลลูไลท์ได้ เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ ดื่มน้ำน้อย การยืนท่าเดิมนาน ๆ หรือสวมเสื้อผ้ารัดรูป ฯลฯ
- ฮอร์โมน : ฮอร์โมนเป็นอีกปัจจัยที่สามารถก่อให้เกิดเซลลูไลท์ได้ง่าย เพราะฮอร์โมนบางชนิดสามารถทำให้ร่างกายสะสมไขมันได้ง่ายและมากขึ้น เช่น ฮอร์โมนเอสโตรเจน หรือฮอร์โมนเพศหญิง ด้วยเหตุนี้เราจึงพบว่า ผู้หญิงมีโอกาสเกิดไขมันสะสมและเกิดเซลลูไลท์มากกว่าผู้ชาย
- พันธุกรรม : เป็นปัจจัยที่พบได้มาก หากมีคนในครอบครัวมีปัญหาผิวมีเซลลูไลท์ โอกาสที่คุณจะมีเซลลูไลท์ก็มีสูงเช่นกัน
เซลลูไลท์ มีกี่ระยะ?
กว่าจะเกิดเป็นเซลลูไลท์จนเห็นรอยแตกลายได้ชัดเจน จะต้องผ่าน 4 ระยะเหล่านี้เสียก่อน
ระยะที่ 0
เป็นระยะเริ่มต้น คุณอาจไม่สังเกตเห็นรอยแตกลายได้ง่าย แต่เมื่อคุณลองบีบจับผิวบริเวณที่เสี่ยงต่อการสะสมของไขมันมากเช่นต้นขา ต้นแขน อาจจับเจอเป็นก้อนและริ้วรอยพังผืดเล็ก ๆ
ระยะที่ 1
ในระยะที่ 1 นั้นจะไม่แตกต่างกับระยะที่ 0 มากนัก แต่เมื่อบีบหรือจับผิวขึ้นมาจะเห็นเป็นก้อนและเห็นรอยแตกลายที่ชัดเจนกว่าระยะที่ 0
ระยะที่ 2
ในระยะที่ 2 นี้คุณสามารถมองเห็นเซลลูไลท์ได้ชัดโดยที่ไม่ต้องจับหรือบีบผิวขึ้นมา เพียงแค่อยู่ในท่ายืน ซึ่งเป็นท่าที่ทำให้ผิวถูกยืดโดยอัตโนมัติ ซึ่งผิวที่มีเซลลูไลท์มักจะไม่ยืดหยุ่น จึงทำให้เห็นเป็นรอยแตกได้นั่นเอง อย่างไรก็ตาม ความรุนแรงของเซลลูไลท์จะยังไม่รุนแรงมาก เมื่ออยู่ในท่านอนจะไม่เห็นรอยแตกได้
ระยะที่ 3
เป็นระยะสุดท้ายของการเกิดเซลลูไลท์ คุณสามารถเห็นรอยแตกเปลือกส้มได้ทุกอิริยาบถ และรอยแตกบุ๋มที่เกิดขึ้นมักจะมีความลึก ในระยะที่ 3 นี้เป็นระยะที่รักษาได้ยากมาก
เซลลูไลท์ มีกี่ชนิด? ต่างกันอย่างไร?
เซลลูไลท์สามารถแบ่งออกเป็น 5 ชนิด ดังนี้
Hard Cellulite
Hard Cellulite เป็นเซลลูไลท์ที่มีความแข็ง ลักษณะภายนอกจะเห็นเป็นรอยคลื่นไม่เรียบ เมื่อสัมผัสจะรู้สึกขรุขระและแข็งเหมือนเปลือกส้ม สามารถเกิดขึ้นกับคนที่มีน้ำหนักตัวมากและน้ำหนักตัวน้อย เซลลูไลท์ชนิดนี้รักษายากกว่าเซลลูไลท์ชนิดอื่น
Soft Cellulite
Soft Cellulite เป็นเซลลูไลท์ที่มีลักษณะตรงข้ามกับ Hard Cellulite คือมีความนิ่ม สัมผัสไม่รู้สึกแข็ง แต่ยังสามารถเห็นความไม่เรียบเนียนที่ผิวได้อยู่ มักเกิดกับผู้ที่มีไขมันสะสมมาก และขาดการออกกำลังกาย โดย Soft Cellulite จะพบได้ตามส่วนที่มีไขมันสะสมมาก ๆ เช่น ต้นขา, ท้องแขน, บั้นท้าย, หน้าท้อง
Edematous Cellulite
Edematous Cellulite เป็นเซลลูไลท์ที่เกิดจากระบบไหลเวียนเลือดไม่ดี เมื่อกดที่ผิวลงไปจะบุ๋มและคืนตัวช้า และเมื่อถูกกดทับนาน ๆ อาจรู้สึกเจ็บ
Flaccid Cellulite
Flaccid Cellulite เป็นเซลลูไลท์ที่พบในผู้ที่มีอายุ เริ่มมีการเสื่อมสภาพของชั้นผิว ลักษณะของ Flaccid Cellulite เมื่อมองภายนอกจะเห็นผิวเป็นคลื่นไม่เรียบ แต่เมื่อสัมผัสจะรู้สึกเป็นก้อนเหลว ๆ
Mixed Cellulite
Mixed Cellulite คือชื่อเรียกของผู้ที่มีเซลลูไลท์ทุกรูปแบบในคนคนเดียว ตั้งแต่ Hard Cellulite, Soft Cellulite, Edematous Cellulite และ Flaccid Cellulite พบได้บ่อยในผู้หญิงที่มีลูกแล้ว และมีพฤติกรรมรับประทานอาหารที่ไม่ถูกสุขลักษณะ
เซลลูไลท์ มักเกิดขึ้นบริเวณไหนบ้าง?
อย่างที่ทราบกันไปแล้วว่า เซลลูไลท์คือไขมันจำนวนมากที่แทรกตามเส้นใยคอลลาเจน บริเวณที่มีเซลลูไลท์จึงมักเป็นบริเวณที่มีไขมันสะสมมาก ยกตัวอย่างเช่น
- หน้าท้อง
- ท้องแขน
- ต้นขา
- บั้นท้าย
- สะโพก
- ใต้คาง ต้นคอ และท้ายทอย
เซลลูไลท์บนผิว ไม่ใช่เรื่องของคนอ้วนเท่านั้น! ใครก็สามารถเป็นได้
ใครที่เคยคิดว่าจะต้องมีน้ำหนักตัวมากจึงจะมีโอกาสเกิดเซลลูไลท์คงต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ เพราะเซลลูไลท์ก็สามารถเกิดขึ้นกับคนที่น้ำหนักเกณฑ์ปกติได้เช่นกัน โดยเฉพาะผู้หญิงที่มักมีปัญหาเซลลูไลท์มากกว่า 9 ใน 10 คนเลยทีเดียว
ที่เป็นอย่างนั้น เนื่องจากธรรมชาติของร่างกายผู้หญิงจะมีไขมันสะสมใต้ผิวมากกว่าผู้ชาย นอกจากนี้เนื้อเยื่อเกี่ยวพันของผู้หญิงมีโครงสร้างแบบเรียงเป็นเส้นตรง และยังมีความแข็งแรงไม่เท่าผู้ชาย จึงทำให้ไขมันถูกดันขึ้นและแทรกตัวไปกับเนื้อเยื่อชั้นบน ทำให้เห็นไขมันที่ดันขึ้นเป็นลักษณะคลื่นไม่เรียบนั่นเอง ถึงแม้ว่าจะผอมแต่ก็อาจมีเซลลูไลท์ได้ค่ะ
ดังนั้น ผู้ที่มีโอกาสเกิดเซลลูไลท์มากก็คือผู้หญิง ยิ่งถ้าหากไม่คุมอาหาร ไม่ออกกำลังกาย หรือมีคนในครอบครัวมีปัญหาเซลลูไลท์ก็ยิ่งมีโอกาสเกิดเซลลูไลท์มากขึ้นค่ะ
วิธีกำจัดเซลลูไลท์ คืนผิวเรียบเนียนอีกครั้ง
หากคุณคือผู้ที่กังวลเรื่องเซลลูไลท์ ผิวเปลือกส้ม และอยากสลายเซลลูไลท์ออกไปจากผิว ในหัวข้อนี้รมย์รวินท์คลินิกขอแนะนำวิธีลดเซลลูไลท์ ให้ผิวดูเนียนขึ้นอีกครั้ง ดังนี้ค่ะ
ลดน้ำหนัก
ถึงแม้ว่าเซลลูไลท์จะไม่ได้เกิดขึ้นเฉพาะกับคนที่มีน้ำหนักมากเท่านั้น แต่ผู้ที่มีน้ำหนักมากก็ย่อมมีโอกาสเกิดเซลลูไลท์สูง การลดน้ำหนักจึงเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยลดโอกาสเกิดเซลลูไลท์บนผิวได้ ซึ่งหากจะลดน้ำหนักก็ควรจะปฏิบัติให้ถูกวิธี เช่น การคุมอาหาร ลดไขมัน แป้ง น้ำตาล และทานอาหารให้ครบ 5 หมู่อย่างเหมาะสม รวมถึงใช้ท่าออกกำลังกายลดเซลลูไลท์เป็นประจำสม่ำเสมอ
เครื่อง RF
คลื่น RF หรือคลื่นวิทยุความถี่สูงเป็นคลื่นที่สามารถเข้าไปสลายไขมันใต้ผิวได้แบบเฉพาะเจาะจง พร้อมกระตุ้นให้คอลลาเจนหดตัวและเรียงตัวใหม่ จึงทำให้สามารถสลายไขมัน สลายพังผืด พร้อม ๆ กับกระชับผิวไปได้ในตัว ถึงแม้เทคโนโลยีนี้จะเน้นการลดไขมันเป็นหลักแต่ก็สามารถใช้ลดเซลลูไลท์ได้เช่นกัน
สลายไขมันด้วยความเย็นเฉพาะจุด (Coolsculpting)
Coolsculpting เป็นอีกเทคโนโลยีที่สามารถกำจัดไขมันเฉพาะจุดได้โดยไม่ต้องเจาะ ดูด หรือผ่าตัด โดยการส่งคลื่นความเย็นไปยังชั้นไขมันและทำให้ไขมันแตกตัว จากนั้นร่างกายก็จะกำจัดออกไปผ่านระบบขับถ่าย ทำให้จำนวนไขมันลดลงได้ทันที
การดูดไขมัน
การดูดไขมันเป็นหัตถการหนึ่งที่สามารถกำจัดไขมันส่วนเกินออกไปได้และทำให้สัดส่วนเล็กลงทันที โดยการสอดเครื่องมือเข้าสู่ชั้นไขมันใต้ผิวพร้อมกับทำให้ไขมันแตกตัว ก่อนจะดูดไขมันที่แตกตัวออกไปจากร่างกาย ซึ่งการดูดไขมันอาจไม่ได้ช่วยลดผิวเปลือกส้มได้มากนัก แต่สามารถลดโอกาสที่จะเกิดเซลลูไลท์เพิ่มขึ้นได้
การผ่าตัด
ผู้ที่มีเซลลูไลท์ติดเป็นพังผืดจำนวนมาก อาจต้องใช้การผ่าตัดเซลลูไลท์เพื่อตัดพังผืดออกไป ซึ่งจะช่วยลดอาการเจ็บจากเซลลูไลท์ดึงรั้งผิวได้
ฉีดแฟต
Meso Fat หรือการฉีดแฟต เป็นหัตถการสลายไขมันโดยใช้สารสกัดจากธรรมชาติ ฉีดเข้าสู่ชั้นไขมันใต้ผิวหนังเพื่อให้ไขมันเกิดการแตกตัวและลดจำนวนลง อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นการไหลเวียนเลือดและน้ำเหลืองให้ดีขึ้น พร้อมคืนผิวที่เต่งตึง เรียบเนียนอีกครั้ง ซึ่งหัตถการนี้เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาไขมันสะสมเฉพาะจุด และมีเซลลูไลท์สะสมน้อย
การทำสปาและการนวด
การนวดลดเซลลูไลท์ เป็นวิธีนวดด้วยมือหรือเครื่องนวดสลายเซลลูไลท์ เพื่อเร่งการเผาผลาญไขมันใต้ผิวหนังและช่วยให้ระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ดีขึ้น ทั้งนี้ควรจะนวดโดยผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ เนื่องจากการนวดผิดวิธีอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บได้
เซลลูไลท์ มีก็ไม่เป็นไร แต่ไม่มีจะดีกว่า
ถึงแม้ว่าเซลลูไลท์จะเป็นปัญหาเฉพาะเรื่องความสวยความงาม แต่สำหรับหลายคนก็ยังเป็นกังวลอยู่ดี หากต้องการลดเซลลูไลท์ก็สามารถนำวิธีรักษาที่แนะนำไปในบทความนี้ไปปรับใช้ได้เลยนะคะ และสำหรับใครที่มีปัญหาเซลลูไลท์และไม่แน่ใจว่าต้องรักษาอย่างไร สามารถเข้ามาสอบถามได้ที่รมย์รวินท์คลินิก เรามีแพทย์เฉพาะทางที่สามารถให้คำปรึกษาปัญหาเซลลูไลท์ พร้อมแนะนำหัตถการที่เหมาะสมที่สุดให้กับคุณได้ค่ะ